“บีซีพีจี” เปิดแผนการลงทุน 5 ปี เติบโตกว่าเท่าตัวด้วยงบลงทุนกว่า 95,000 ล้าน

New Energy

บีซีพีจี เปิดแผนกลยุทธ์ 5 ปี มั่นใจสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเท่าตัว หรืออย่างน้อย 100 % ทั้งด้านรายได้และกำลังการผลิต ด้วยงบลงทุน 95,000 ล้านบาท

             นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ 5 ปี BCPG “Running at Lightning Speed” ว่า ในอีก 5 ปีนับจากนี้  บีซีพีจีวางเป้าหมายขยายการเติบโตขึ้นร้อยละ 100 หรือเติบโตเท่าตัวจากปัจจุบัน ทั้งด้านรายได้ (Revenue) และ กำลังการผลิต (Generation Capacity) จาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

          1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

          2) ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (smart energy solution) อาทิ ธุรกิจผลิต และจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ แบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ฯลฯ

          3) ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (smart infrastructure) อาทิ ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะ ให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้าน พลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

         โดยบีซีพีจีจะดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ 4 ด้านประกอบด้วย 1.การสร้างความสมดุลในการลงทุน (Balance Portfolio) ด้วยการขยายธุรกิจทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา 2. การสร้างโอกาสเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ (Opportunity) 3. ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า (Return on Investment) และ 4. ต้นทุนทางการเงิน อยู่ในระดับต่ำ (Optimized Funding Cost)

            ในการเติบโตตามแผน 5 ปีดังกล่าว บีซีพีจีต้องใช้งบลงทุนถึง 95,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดการลงทุนและได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็วและคุ้มค่าตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยความพร้อมจากเงินลงทุนที่เรามีอยู่เดิม 65,000 ล้านบาท รวมกับเม็ดเงินที่เราจะได้รับจากการขายโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ทำให้ บริษัทฯ มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ล้านบาท เพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผน

          เรามีโครงการและแผนการลงทุนที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ เราได้วางแผนการลงทุนที่ต้องใช้เงินเกือบ 70,000 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ดี มีกระแสเงินสดมั่นคง แต่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อสร้างความเติบโต (Growth) ค่อนข้างนานกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ซึ่งอาจจะตอบสนองกลยุทธ์การขยายการเติบโตเราได้ไม่ทันการณ์ การขายโครงการฯ จึงเป็นการเพิ่มความสามารถในการลงทุนของเราให้มากขึ้น ทำให้ขยายการลงทุนใหม่เพื่อหารายได้มาทดแทน  Adder ที่กำลังจะหมดลงได้ด้วย ทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้ตามแผนโดยไม่ต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใดนายนิวัติกล่าว

          ทั้งนี้ บริษัทได้ตกลงที่จะขายโครงการโรงไฟฟ้าในมูลค่า 440 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,600 ล้านบาท ในขณะที่โครงการมีมูลค่าทางบัญชี 12,295 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 โดยคาดว่าจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้นในโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ภายในไตรมาสที่1/2565

          ในปี 2565 บริษัทได้มีการตั้งงบลงทุนที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีนี้จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการต่างๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ และ โคมากาเนะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City) กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ โดยในปีนี้จะมีการนำระบบกักเก็บพลังงาน หรือ แบตเตอรี่ ไปใช้ในการบริหารจัดการพลังงานที่โครงการนี้อีกด้วย รวมถึงคาดว่ามีโครงการที่เราสามารถบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการมาในปีนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

            สำหรับความคืบหน้าของการพัฒนาในโครงการที่สำคัญของบริษัทฯ ยังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศแถบเอเชีย และแถบอินโดจีน (Indochina) อาทิ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศสูง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนสูง เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงฟอสซิล ฯลฯ

            “บีซีพีจี ตั้งเป้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไต้หวัน ด้วยกำลังการผลิต 1000 เมกะวัตต์ ใน 5 ปี ข้างหน้า ขณะที่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เรามีสิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนเพิ่มขนาด1,000 เมกะวัตต์ และสำหรับประเทศไทยเราก็มีแผนเข้าลงทุนโดยการควบรวมกิจการในโครงการที่น่าสนใจเป็นไปตามกรอบกลยุทธ์ที่เราวางไว้” นายนิวัติกล่าวเพิ่มเติม

            นอกจากนี้ บีซีพีจี ยังได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอน โดยตั้งเป้าปลูกป่าในประเทศไทย 1000 ไร่ ใน 2 ปี และทยอยปลูกป่าในประเทศที่เรามีโครงการฯ อีกกว่า 10,000 ไร่ ขณะเดียวกันยังเป็นหนึ่งในผู้จัดตั้ง Carbon Markets Club แพลทฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการแก้ปัญหาโลกร้อนสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกันได้ตามความสมัครใจอีกด้วย

            อนึ่ง ณ ปัจจุบัน บีซีพีจีมีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งหมดภายในปี 2567

           ล่าสุดทางบริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement) กับ Capital Asia Investments Pte. Ltd. (CAI) (ในฐานะผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทฯ) และกระทรวงการเงิน สปป. ลาว ในนามของรัฐบาล สปป. ลาว (GOL)

           การร่วมลงทุนกับ CAI ในวงเงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐในครั้งนี้  เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนใน สปป. ลาว ผ่านวิสาหกิจถือหุ้นลาว (Lao State Holding Enterprise หรือ LHSE ) และ การให้บริการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนแก่ LHSE ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่จะตกลงกันต่อไป

           ในการนี้ บริษัทและ CAI อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะกิจการ (due diligence)  และการเจรจาข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาหลักกับ GOL สำหรับธุรกรรมดังกล่าว และเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป