คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ผนึกพลังกระทรวงสาธารณสุข กระทรวง อว. กระทรวงดิจิทัลฯ กรุงเทพมหานคร และ กสทช.ร่วมขับเคลื่อน “ก้าวต่อไปของการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข Big Rock 1: Health security”
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2022/08/001.jpg)
วันนี้ (4 สิงหาคม 2565 )ที่ ห้องกมลทิพย์ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมจัดการประชุมปรึกษาหารือ “ก้าวต่อไปของการปฎิรูปประเทศด้านสาธารณสุข Big Rock 1 : Health security” เพื่อหาแนวทางดำเนินงานการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข การจัดลำดับนโยบายและประเด็นสำคัญ ความเชื่อมโยงของการปฏิรูปกับแผนงาน บทบาทของ WHO-CCS PHE Program และ EPI (Ending Pandemic through Innovation) ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนประเด็นปฏิรูปที่สำคัญอย่างต่อเนื่องในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2022/08/002-1.jpg)
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวว่าคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขได้มีการดำเนินงานมาต่อเนื่อง ภายใต้แผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข และในช่วงสำคัญที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศกำลังจะหมดวาระการดำเนินการ การจัดประชุมการปรึกษาหารือก้าวต่อไป ในประเด็นสำคัญของการปฏิรูปที่ต้องการขับเคลื่อนและต่อยอดนโยบายการดำเนินงานในระยะกลางเพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขสามารถดำเนินการได้อย่างมีระบบตรงตามนโยบายและแผนการปฏิรูปประเทศฯ เพราะมีหน่วยงานหลักสำคัญของประเทศ รวมถึงภาคีเครือข่ายต่างๆ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนมาโดยตลอด
“สำหรับการจัดประชุมปรึกษาหารือฯ ในครั้งนี้ ยังคงกำหนดประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ 1. การปฏิรูปและสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพปฐมภูมิในกรุงเทพมหานคร 2. การพัฒนา Digital Health/Health Information Systems 3. การสร้างความเข้มแข็งของ NRA (National Regulatory Authority) โดยเฉพาะการ จัดให้มีรูปแบบการบริหารจัดการองค์กรแบบใหม่”
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2022/08/003-1.jpg)
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการสนับสนุนการนำนวัตกรรมทั้งทางด้านสังคมและเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดเชื้อโควิด-19 โดยนำแผนงานและกิจกรรมคณะปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข Big Rock 1 มาขับเคลื่อนภายใต้โปรแกรมยุติโรคระบาดด้วยนวัตกรรม (Ending Pandemics through Innovation) โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) เป็นผู้ประสานงานหน่วยงานและขับเคลื่อนหลัก และสนับสนุนงบประมาณบางส่วนเพื่อร่วมขับเคลื่อนนั้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จและการผลักดันเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประเทศ การปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยความร่วมมือจากทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์แก่การบริการสุขภาพประชาชน
“กระทรวง อว. ในฐานะหน่วยวิชาการ วิจัยและพัฒนา เราพร้อมให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย ด้านวิชาการ การพัฒนานวัตกรรมทั้งด้านดิจิทัล Telemedicine การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาล UHOSNET และงบประมาณเพื่อส่งเสริมการทำงานหน่วยบริการปฐมภูมิและการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ภายใต้ประเด็นการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้”
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2022/08/004-1.jpg)
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความก้าวหน้าของงานปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขของประเทศ ในช่วงสถานการณ์การระบาดเชื้อโควิด 19 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขที่มีการสร้างความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนและมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ทั่วโลกที่ต่างชื่นชมศักยภาพการบริหารสถานการณ์ภาวะฉุกเฉิน ในการประเมินของ UNHPR ชื่นชมการจัดระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ การมีส่วนร่วมของประชาชน อสม. ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมมือกันแก้ปัญหาภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ สำหรับด้านการจัดการข้อมูลสุขภาพอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ทุกฝ่ายต่างตระหนักหาสาเหตุของปัญหาร่วมกัน และร่วมมือกันพัฒนาด้านสารสนเทศอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีนี้
ทั้งนี้ การจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ คือ ส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนเข้าถึงระบบการรักษากับหมอครอบครัวได้ สะดวก รวดเร็ว ก็จะสามารถหยุดความรุนแรงของโรค และลดโรคแทรกซ้อน การทำให้ประชาชนแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ลดความสูญเสียรายได้ของครอบครัว ภาพรวมรายได้ทางเศรษฐกิจ และประหยัดงบประมาณการรักษาพยาบาลของประเทศได้ นโยบายสุขภาพปฐมภูมิของกระทรวงสาธารสุข ใช้คำ “3 หมอ” และการพัฒนาแนวทางการบริการปฐมภูมิให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของชุมชนในกรุงเทพมหานครเป็นความคาดหวังของทุกฝ่าย ที่พร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมเช่นเดียวกับการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนงานปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และกำลังคนด้านดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูล และการพัฒนางานดิจิทัลสุขภาพของประเทศ ต้องยอมรับว่าระบบดิจิทัลและข้อมูลสุขภาพมีความสำคัญมากในการยกระดับการบริการด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่าย การวินิจฉัย การเชื่อมต่อบริการปฐมภูมิสู่ทุติยภูมิและตติยภูมิ การบริหารจัดการข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา จากประเด็นความสำคัญดังกล่าว กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange) ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มคุณภาพการบริการแก่ประชาชนได้ในที่สุด ผ่านระบบ Health Link ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้รับมาตรฐานสากล และร่วมขับเคลื่อนประเด็นปฏิรูปประเทศเรื่อง Data Repository ให้สามารถเกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพร่วมกับ 5 กระทรวง และสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลนำร่องในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 13 เพื่อให้เปิดการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง”
“ดีอี ร่วมกับ สธ. พัฒนาระบบคลาวด์ประจำเขตสุขภาพทั้ง 13 เขต เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทาง สธ. ในการเชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลสุขภาพ โดยรับงบประมาณสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ดำเนินการงานดังกล่าว เกิดเป็นรูปธรรมจากนโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนทั้ง 5 ด้าน เรื่องการพัฒนามาตรฐานและการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประเทศนั้น ดีอี พร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านกำลังคนและงบประมาณในการร่วมขับเคลื่อนให้เกิดการบูรณาการข้อมูลสุขภาพของประเทศให้เกิดขึ้นจริง เราหวังว่าการปฏิรูปการเชื่อมโยงข้อมูลและสุขภาพดิจิทัลในครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนางานบริการสุขภาพอื่นๆ ของประชาชนให้สามารถเข้าถึงการบริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพในอนาคต” นายชัยวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2022/08/006-1.jpg)
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “เราต้องยอมรับว่าการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขภายในกรุงเทพมหานครเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญมาก ซึ่งจะเห็นได้จากช่วงสถานการณ์การระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครเป็นเหมือนจุดยุทธศาสตร์ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ และมีความซับซ้อนด้านประชากรอย่างยิ่ง เมื่อการควบคุมโรคหรือการบริการไม่มีประสิทธิภาพก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวมด้วย กทม.จึงได้จัดทำนโยบายด้านสุขภาพไว้กว่า 34 ข้อ เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพ”
“ชีวิตประชาชนกรุงเทพมหานครและที่อาศัยอยู่นั้น ให้สามารถเข้าถึงการบริการได้อย่างเท่าเทียม ระบบบริการปฐมภูมิเป็นหน่วยบริการที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย เพราะเป็นหน่วยเชื่อมต่อการบริการสุขภาพพื้นฐานสู่การบริการระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ จากการประชุมแนวทางการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิครั้งก่อน กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น การขับเคลื่อนราชพิพัฒน์ model (Sandbox) เป็นหนึ่งนโยบายที่เราจะทดลองการทำงานภายใต้ข้อเสนอแนะของคณะปฏิรูป และนำไปสู่การขยายผลในพื้นที่อื่นๆ การบริการจัดการระดับเขต System manager model เป็นส่วนที่มีความสำคัญและเราคิดว่าจะมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในเชิงระบบ ร่วมถึงการเพิ่มจำนวนอาสาสมัครในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้เพียงพอและคลอบคลุมกลุ่มประชากร เพิ่มการนำเทคโนโลยี Telemedicine เข้ามายกระดับการบริการซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพและบริการโดยจากความร่วมมือของ 12 หน่วยงานภายใต้เขตสุขภาพที่ 13 และสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนที่สำคัญ”
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2022/08/005-1.jpg)
ขณะที่ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า การร่วมขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข Big Rock 1 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง เราได้จัดตั้งกองทุนการบริการเพื่อสังคม (Universal Service Obligation) เรียกโดยย่อว่า USO เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง อันจะเป็นประโยชน์ในการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการโทรคมนาคม
ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมาเราพบการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและบริการด้านสาธารณสุขของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลเข้ามามีบทบาทสำคัญ และเป็นตัวกำหนดในการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพของประชาชนอย่างมาก กสทช. เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้จัดสรรงบประมาณบางส่วน เพื่อสนับสนุนการขยายผลการระบบดิจิทัล Telemedicine ช่วยส่งเสริมการบริการด้านสาธารณสุข โดยส่วนที่เราได้เริ่มนำร่องไปแล้ว คือ การจัดสรรงบประมาณร่วมสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อจัดทำคลาวด์สำหรับเขตสุขภาพช่วยให้การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประเทศให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
“จากข้อเสนอการขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในด้านการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ กสทช. พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในเชิงนโยบายและงบประมาณให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นรูปประธรรม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการสื่อสารเพิ่มประสิทธิภาพการบริการปฐมภูมิด้วยระบบ Telemedicine ซึ่งตามนโยบายของท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ได้กล่าวไว้ ในนโยบายการขับเคลื่อนและการผลักดันให้เกิดมาตรฐานข้อมูล สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในหน่วยบริการปฐมภูมิซึ่งก็จะเชื่อมกับการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง ในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประเทศตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนข้อที่ 5 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดรูปธรรม การเริ่มนำร่องในบางเขตก่อนจะช่วยให้ขยายผลงานดังกล่าวไปทั่วประเทศ” ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ สรณ กล่าว