มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด ร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดพิธีประกาศผล “เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ประจำปี 2568” ภายใต้แนวคิด “ฟาร์มแห่งอนาคต เกษตรกรผู้นำการเปลี่ยนแปลงสีเขียว” เพื่อยกย่องเกษตรกรต้นแบบที่ประยุกต์ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและความท้าทายในอนาคต ซึ่งในปีนี้ เป็นการจัดประกวดเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ปีที่ 17
คุณบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด ผู้ริเริ่มโครงการฯ กล่าวว่า ตลอด 26 ปี มูลนิธิฯ มุ่งมั่น “สร้างคน” โดยน้อมนำหลัก เศรษฐกิจพอเพียง และ เกษตรทฤษฎีใหม่ มาเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาสังคมและชุมชน โครงการคัดเลือกเกษตรกรฯ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 สะท้อนพลังของคนทำเกษตรที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยปีนี้เน้นค้นหาเกษตรกรที่นำเทคโนโลยีผสานภูมิปัญญา เพื่อสร้างระบบเกษตรสีเขียว ที่เป็นแบบอย่างของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างสมดุลและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

คุณนฤมล สงวนวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญในการพัฒนาผลผลิตของเกษตรกรอย่างรับผิดชอบต่อธรรมชาติ สร้างคุณค่าให้ชุมชน รวมถึงยกระดับภาคการเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ โดยเฉพาะในปี 2568 โครงการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ฟาร์มแห่งอนาคต เกษตรกรผู้นำการเปลี่ยนแปลงสีเขียว” สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเกษตรกรไทยในยุคที่โลกกำลังเผชิญความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน ภัยแล้ง น้ำท่วม ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงกระทบต่อภาคการผลิตอาหาร แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง จากความท้าทายดังกล่าว เกษตรกรจำนวนมากได้ลุกขึ้นปรับตัว พัฒนาองค์ความรู้ นำนวัตกรรมมาใช้ในฟาร์ม และสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้จึงต้องการยกย่องผู้ที่ไม่เพียงทำเกษตรเพื่อยังชีพ แต่ทำเกษตรเพื่ออนาคตของประเทศ และเพื่อความมั่นคงของระบบอาหารไทยอย่างแท้จริง
คุณซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ด้วยภาคการเกษตรเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย และเกษตรกร ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติ คือรากฐานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมให้เข้มแข็ง เพราะเป็นผู้ผลิตอาหารที่ปลอดภัย เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีไทยที่นำความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจร มาช่วยแก้ไขปัญหาและรับมือกับความท้าทายสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยิ่งซับซ้อนและคาดเดาได้ยากขึ้น โดยตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ทรู ได้ร่วม ‘ปลูก’ ความร่วมมือ และ ‘ปลูก’ ทักษะใหม่ๆ ให้แก่เกษตรไทย ผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมต่อยอดนำศักยภาพด้าน Climate-Tech ของทรู ตั้งแต่การนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ไปจนถึงระบบเกษตรแม่นยำอัจฉริยะ (IoT Precision Farming) พร้อมมุ่งสนับสนุนภาคการเกษตรไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สมาร์ทขึ้น เข็มแข็งขึ้น และมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ในโอกาสนี้ ผมขอแสดงความยินดีกับเกษตรกรยุคใหม่ทุกท่านที่ร่วมกัน ‘ปลูกอนาคตการเกษตรไทย’ อย่างแท้จริง”
คุณพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกล่าวแสดงความยินดีว่า เกษตรกรที่ได้รับรางวัลถือเป็นแบบอย่างอันทรงคุณค่า ที่สามารถผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำนวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าสินค้าได้อย่างดีเยี่ยม สอดคล้องกับทิศทางของกรมส่งเสริมการเกษตร ในการผลักดันให้เกษตรกรยุคปัจจุบันเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็น ‘ผู้นำการเปลี่ยนแปลง’ อย่างแท้จริง โครงการนี้จึงเป็นแบบอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการยกระดับภาคการเกษตรไทยให้ก้าวทันโลก
ทั้งนี้ เกษตรกรที่ได้รับรางวัลในปี 2568 ได้แก่

รางวัลชนะเลิศ คุณธราพงศ์ วงศ์วัฒนากิจ จาก Gardener House จังหวัดราชบุรี ผู้พลิกชีวิตจากมนุษย์เงินเดือนสู่เกษตรกรยุคใหม่ นำเทคโนโลยี IoT ระบบรดน้ำอัตโนมัติ และ Weather Station มาใช้บริหารจัดการสวนมะพร้าวอินทรีย์อย่างแม่นยำ ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านการใช้แตนเบียน การเลี้ยงผึ้งชันโรง และการสร้างแนวกันชนสีเขียว สู่โมเดล “ฟาร์มอินทรีย์อัจฉริยะ” ที่เป็นแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คุณสันติสุข พุฒพรม จาก กาแฟเขาพระเจ้า จังหวัดชุมพร พัฒนากาแฟท้องถิ่นให้เป็นสินค้าอินทรีย์ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การจัดการน้ำ–ดิน จนถึงการแปรรูปคุณภาพสูง พร้อมเปิดฟาร์มเป็นศูนย์เรียนรู้ ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้คนในชุมชน ยกระดับอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คุณอภิชาติ พูลเอียด จาก ฟาร์มไส้เดือนบ้านเล็กในป่าใหญ่ จังหวัดพัทลุง อดีตวิศวกรที่สร้างมูลค่าจากสิ่งเล็ก ๆ ด้วยแนวคิด “จากมูลสู่มูลค่า” พัฒนาฟาร์มไส้เดือนด้วยระบบ Smart Farm ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น พร้อมต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์และสารปรับปรุงดินคุณภาพสูง เป็นที่พึ่งให้เกษตรกรและชุมชนรากหญ้าอย่างแท้จริงเกษตรกรดีเด่นอีก 7 ท่าน ได้แก่
- คุณทศพร เลิศคอนสาร (ปูนาแสนสวย) จังหวัดชัยภูมิ
- คุณธนิถา ทีปกรนราพิตร (Nara Tamarind) จังหวัดเพชรบูรณ์
- คุณปิยะ กิจประสงค์ (ฟาร์มมะเขือเทศเชอรี่แตะขอบฟ้า) จังหวัดสุพรรณบุรี
- คุณพีระพงษ์ แดงสะอาด (ไร่แดงสะอาด อาณาจักรมันหวานญี่ปุ่น) จังหวัดราชบุรี
- คุณวิภาดา โควินท์ (Kowin Garden) จังหวัดราชบุรี
- คุณสุพเจตน์ สินธุพัฒน์ (สวนทุเรียน แม่น้ำภูเขา) จังหวัดจันทบุรี
- คุณสุไรนา บือราเฮง (ญาญา สุไรนา) จังหวัดนราธิวาส

สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรดีเด่น โครงการคัดเลือกเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ประจำปี พ.ศ. 2568
โดยคณะกรรมการฯ จะพิจารณาจากองค์ประกอบ 4 มิติ ได้แก่
1. ด้านสังคม ความเป็นผู้นำ ถ่ายทอดความรู้ สร้างเครือข่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน
2. ด้านเศรษฐกิจ ความสามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิต บริหารต้นทุน ขยายตลาด และพึ่งพาตนเอง
3. ด้านสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบ ฟื้นฟูดิน–น้ำ ใช้ทรัพยากรหมุนเวียน และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
4. ด้านความยั่งยืน วิสัยทัศน์ระยะยาว การสืบทอดอาชีพ และความสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม–ภูมิอากาศ
ข้อมูลมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และโครงการเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด
มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด เป็นผู้ดำเนินการโครงการสำนึกรักบ้านเกิดเพื่อพัฒนาผู้นำชุมชน ซึ่งก่อตั้งโดย คุณบุญชัย เบญจรงคกุล เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุนสนับสนุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องแก่เยาวชนที่ตั้งใจเรียนและมีศักยภาพความเป็นผู้นำ โดยมีเป้าหมายที่จะกระจายโอกาสทางด้านการศึกษาไปสู่เยาวชนอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศไทย พร้อมๆ ไปกับการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีงาม รักในถิ่นฐานบ้านเกิด หวังให้เติบโตขึ้นเป็น “คนดี” ของสังคม
