วช.หนุนทีมวิจัย ม.มหิดล พัฒนากลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนขยะเป็นปุ๋ยอินทรีย์-พัฒนาเทคโนโลยีต้นแบบเครื่องผลิตปุ๋ยอินทรีย์

เวทีวิจัย

วช.หนุนทีมวิจัย ม.มหิดล พัฒนากลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนขยะอินทรีย์ไปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และพัฒนาเทคโนโลยีต้นแบบเครื่องผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบอัตโนมัติ ผลิตปุ๋ยได้ภายใน 24 ชั่วโมง  เพื่อช่วยลดปัญหาขยะและลดการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศ

            ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า  ประเทศไทยประสบปัญหามลภาวะจากขยะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเมืองใหญ่  ปัจจุบันจึงเริ่มมีการตื่นตัวและเห็นความสำคัญของการจัดการขยะมากขึ้น ทั้งการรณรงค์การแยกขยะและการนำขยะไปใช้ประโยชน์ โดยในส่วนของขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร  เริ่มมีการนำมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์มากยิ่งขึ้น จึงมีการนำเข้าเครื่องกำจัดขยะและเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์มาจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพง  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับโครงการ “การใช้กลุ่มจุลินทรีย์ (microbial consortium) 2 ชนิดและเครื่องต้นแบบผลิตปุ๋ยภายในเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปลี่ยนขยะอินทรีย์จากบ้านเรือนให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพชนิดพิเศษ” ซึ่งมี “รศ.ดร.สุรางค์ ชาญกำแหงเดชา”  จาก มหาวิทยาลัยมหิดล  เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อพัฒนากลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนขยะอินทรีย์ไปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ  เพื่อช่วยลดปัญหาขยะและลดการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศ

            รศ.ดร.สุรางค์ ชาญกำแหงเดชา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า  ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอย 27.37 ล้านตัน  เป็นขยะอินทรีย์ปริมาณ 17.56 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 64 ของขยะมูลฝอยทั้งหมด และจากขยะมูลฝอยทั้งหมดมีขยะมูลฝอยเพียงร้อยละ 43 ที่มีการจัดการตามระบบมาตรฐาน ขณะที่ร้อยละ 57 เอาไปฝังกลบหรือถมกลางแจ้ง  ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะมีการนำเข้าเครื่องกำจัดขยะและเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์จากต่างประเทศ แต่เครื่องยังมีราคาสูง และได้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพต่ำ เนื่องจากไม่มีการเติมจุลินทรีย์ หรืออาจมีการเติมจุลินทรีย์ที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เหมาะสมกับประเทศไทย

          “ตนเองและทีมวิจัย ซึ่งประกอบด้วย ศ.ดร.วัฒนาลัย ปานบ้านเกร็ด  รศ.ดร.รัชนีวรรณ อุ่นแพทย์  รศ.ดร.พัฒนียา ปรางทิพย์ และ ผศ.ดร.อมรรัตน์ อรุณนวล  จึงดำเนินการวิจัยเพื่อหาแนวทางลดปริมาณขยะ โดยมุ่งเน้นส่วนที่เป็นขยะอินทรีย์จากบ้านเรือน เนื่องจากขยะอินทรีย์เหล่านี้สามารถใช้จุลินทรีย์และเอนไซม์ที่เชื้อจุลินทรีย์ผลิตขึ้นมาย่อยสลายให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ โดยปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จะมีการเติมกลุ่มเชื้อจุลินทรีย์ที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช (plant growth promoting rhizobacterium, PGPR) เพื่อผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ซึ่งปุ๋ยชนิดนี้ยังไม่มีการจำหน่ายในประเทศไทย”

ช่องเปิดถังกวน เพื่อใช้ในการทำความสะอาด

            ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้มีการออกแบบเครื่องผลิตปุ๋ยอินทรีย์อัตโนมัติ ซึ่งจะสามารถย่อยอินทรียวัตถุในครัวเรือน เช่น เศษอาหารที่เหลือจากครัวเรือน ภายในเครื่องจะมีกลไกในการย่อยอินทรียวัตถุโดยวิธีทางกายภาพ (mechanical digestion) ซึ่งได้แก่ การบดและกวน  และวิธีทางชีวภาพ (biological digestion) โดยการใช้เทคโนโลยีด้านจุลินทรีย์และเอนไซม์ที่เติมเข้าไปในเครื่องผลิตปุ๋ยอัตโนมัติ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการย่อยสูงสุด สามารถเปลี่ยนจากเศษอาหารเหลือจากครัวเรือนให้กลายเป็นดินที่มีองค์ประกอบของสารอินทรีย์ ภายใน 24 ชั่วโมง  

ภาพแสดงถังกวน

            นอกจากนี้ยังมีการทดสอบคุณสมบัติเบื้องต้นในเชิงคุณภาพของจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายขยะอินทรีย์ และจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชจากธรรมชาติ 

            รศ.ดร.สุรางค์กล่าวอีกว่า  จุดเด่นของงานวิจัยนี้อยู่ที่องค์ความรู้จากการออกแบบ การสร้าง ต้นแบบของเครื่องผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากอินทรียวัตถุที่มีการนำเทคโนโลยีจุลินทรีย์และเอนไซม์มาประยุกต์ใช้ในรูป microbial consortium เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการย่อยสลายอินทรีย์ให้มีประสิทธิภาพที่ดี  ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการลดขยะอินทรีย์ในครัวเรือนแล้วยังสามารถนำไปต่อยอดการใช้นวัตกรรมการวิจัยเพื่อใช้ในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม  โดยหน่วยงานหรือบริษัทเอกชนภายในประเทศที่สนใจช่องทางในการสร้างธุรกิจ สามารถการนำองค์ความรู้ในด้านการออกแบบ และผลการทดลองที่ได้จากการเครื่องต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้ในการทดลองนี้ไปผลิตให้กลายเป็นสินค้าในกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีแล้วขายให้กับคนในประเทศ  ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคาของเครื่องผลิตปุ๋ยดังกล่าวมีราคาที่ถูกลง  สร้างจูงใจให้กับผู้บริโภคที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมสามารถซื้อมาใช้ได้ในครัวเรือนได้มากขึ้น

          อย่างไรก็ดี ในอนาคตจะมีการเผยแพร่ผลการวิจัยแก่สาธารณชนในรูปแบบของการตีพิมพ์เป็นผลงานวิชาการในวารสารระดับชาติ และส่งต่อเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชนในประเทศเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าเครื่องผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากต่างประเทศได้.