AIS Business โชว์ Direction 2023 มุ่งสร้าง “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ตอกย้ำการเป็นพันธมิตรดิจิทัลเพื่อธุรกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

Cover Story

           วันนี้…ปฏิเสธไม่ได้ถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กับองค์กรธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยต่าง ๆ สามารถก้าวข้ามวิกฤตจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่น ภัยพิบัติ หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปได้  และหากยังองค์กรใดยังไม่มีการเตรียมความพร้อม  3 ปีที่ผ่านมา “ โควิด -19 ” จะเป็นบทเรียนและตัวเร่งให้หันมาทำ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น” (Digital Transformation) อย่างเร่งด่วน  และพร้อมที่จะเปิดรับ “ดิจิทัลโซลูชัน” เข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจในก้าวต่อ ๆ ไป ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

           นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS   หรือ AIS Business กล่าวว่า  “3 ปี ที่เราอยู่กับการระบาดของโควิด-19 ทำให้องค์กรส่วนใหญ่ได้ปรับตัวรับผลกระทบจนพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในบริบทของโลกหลังโควิดแล้ว และแน่นอนว่าพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการทำ Digital Transformation เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขันและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจมากขึ้น  ประกอบกับเทรนด์การใช้งานเทคโนโลยีในปีนี้องค์กรมุ่งไปที่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีให้มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ในการจัดการ ควบคุม ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลตามกรอบกฎหมายที่ประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา  นอกจากนี้ยังมีกระแสเรื่องของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งหมดนี้ทำให้ “ดิจิทัลโซลูชัน” ได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่จะเข้ามาช่วยองค์กรสร้างความพร้อมสู่การเติบโตควบคู่กับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจได้”

           ..และ  AIS   ก็เป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจที่เห็นความสำคัญของ “ Digital Transformation”   

             นายธนพงษ์ กล่าวว่า  ปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายของ AIS   แต่ด้วยการขับเคลื่อนจากโควิด-19 ทำให้เกิดการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ส่งผลให้  AIS Business สามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้ถึง 26 % จากปีก่อน  โดยมีลูกค้าที่ใช้งาน 5G ในเชิงธุรกิจ มากกว่า 2 แสนราย การเชื่อมต่อเครือข่ายในฝั่งไฟเบอร์ มีมากกว่า 70,000 ราย  และที่สำคัญคือ การเติบโตของผู้ใช้คลาวด์ ที่ยังเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 200 %  คิดเป็นองค์กรมากกว่า 3,000 ราย 

           และจากการสำรวจล่าสุดของ Global Data ที่รวบรวมจากกลุ่มธุรกิจชั้นนำกว่า 200 องค์กร AIS  ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้นำด้าน ICT Service Provider อันดับ 1

           อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมสถานการณ์ตลาดและเทรนด์ในการทำ Digital Transformation ที่เกิดขึ้น   ปีนี้  AIS Business   ยังคงมุ่งเน้นสร้าง “ Digital Business Ecosystem ” ให้มีความสมบูรณ์แบบ สามารถตอบโจทย์การทำงานทุกองค์กรได้ในทุกมิติ  ผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก คือ การเชื่อมต่อ 5G Ecosystem เพื่อการทำงานของภาคธุรกิจอย่างรอบด้าน ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายในการสร้าง Digital Partner  การยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วย Intelligent Network เพื่อบริการและสนับสนุนความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า  การมุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น  การเสริมอาวุธด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสการเติบโตด้วย Data-driven Business  เพื่อเปลี่ยนข้อมูลทั่ว ๆ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และการส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพที่ไว้วางใจได้  ซึ่ง AIS ยังคงให้ความสำคัญเรื่อง “คน” อย่างต่อเนื่อง มีการ Re-Skill  เพิ่มทักษะกับพนักงานให้พร้อมรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น

           ด้วยความพร้อมของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G   แพลตฟอร์มคลาวด์    ไซเบอร์ซีเคียวริตี้  รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ  ทำให้  AIS Business  สามารถตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างหลากหลายและครอบคลุมทั้งด้าน “ Growth ”  ที่เร่งการเติบโตของธุรกิจโดยสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ ด้วยเครื่องมือทางดิจิทัล ที่เพิ่มความคล่องตัวด้วยศักยภาพของ AIS 5G  และ Cloud platform  รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ และการสร้างโซลูชันใหม่ ๆ   “Trust”  บริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้   ซึ่งสอดรับกับกฎระเบียบของการใช้งานที่ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของแต่ละอุตสาหกรรม และ  “Sustainability”   การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ AIS Business  พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกสำคัญของการเสริมนวัตกรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม  นับตั้งแต่การสร้างระบบนิเวศสำหรับการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับพันธมิตร  การสร้างโซลูชั่น การบริหารจัดการ การลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน คาดการณ์การใช้ลังงานไปจนถึงการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

           สำหรับจุดเด่นของ AIS Business  นายธนพงษ์บอกว่า อยู่ใน 3 เรื่องหลัก  คือ   AIS 5G NEXTGen Platform  แพลตฟอร์มนวัตกรรม 5G ที่รวมศูนย์การบริหารจัดการทั้ง 5G, Edge Computing ,Clouds และ Applications มาไว้ที่จุดเดียวแบบ One Stop  ธุรกิจสามารถสร้าง 5G โซลูชันที่เหมาะกับความต้องการได้แบบง่าย ๆ  สะดวกและยืดหยุ่น สามารถเห็นภาพรวมของการใช้งาน และปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เหมาะกับงบประมาณ และความต้องการในแต่ละช่วงเวลา  

           AIS Cloud X   ระบบนิเวศคลาวด์อัจฉริยะ   ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการคลาวด์ได้อย่างยืดหยุ่น รองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ  นอกจากนี้ยังรองรับ  “Sovereign Cloud”  เทรนด์ใหม่ของโลกในการมีอธิปไตยในการเข้าถึงข้อมูล  ซึ่ง  AIS  ได้ร่วมมือกับ  VMware ในการเป็น Partner ผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเก็บข้อมูลในประเทศ

           และ ความร่วมมือของเอไอเอสกับพันธมิตร  ที่ครอบคลุมในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ   

           “ปัจจุบัน AIS Business  มีพันธมิตรใน Ecosystem ทั้งระดับโลกและในประเทศ  เราทำงานร่วมกันอย่างดี  โดยจะเน้นคำว่า “Partner” มากกว่าคำว่า “คู่ค้า” เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการขายของ แต่ทุกครั้งเราจะถามว่า เราจะไปด้วยกันอย่างไร  ซึ่งเราเชื่อเรื่อง Partnership ที่จะสร้าง The Best Solution โดยครอบคลุมไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรในด้านเทคโนโลยี องค์กรภาครัฐ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ”

            ยกตัวอย่างลูกค้าที่เป็น Reference  ด้าน SD- WAN Product & Solution   ซึ่ง  AIS Business สามารถ Integrate  Wireless หรือ 5G กับ Fix Line   ให้ลูกค้า 2 กลุ่มทั้งบริษัท  SSI  และ Easy Buy  โดยลูกค้าสามารถมีแอพพลิเคชั่น 100 % ที่ใช้บนเครือข่ายต่าง ๆได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพรวมถึงใช้การเชื่อมต่อได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

           นอกจากนี้ยังมี Use Case 5G  ทั้งของ SCG ที่ AIS เคยเข้าไปทำเรื่อง Forklift  ไร้คนขับในปีแรก ๆ และในปีที่ผ่านมา  AIS ประสบความสำเร็จร่วมกับ SCG ในการที่จะนำโซลูชันที่เป็น Unman Mining  หรือการทำเหมืองโดยไม่ใช้คน  มาใช้    มีการเปลี่ยนจากรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซลมาเป็นรถบรรทุกไฟฟ้า  ใช้ 5G ในการควบคุม และทำงานแบบไร้คนขับ  ซึ่งสิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่พนักงานยังมีความปลอดภัยสูงขึ้น  และยังสร้างจุดขายให้กับผลิตภัณฑ์ในอนาคตอีกด้วย   

           ส่วนกรณีบริษัทสมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ จำกัด (มหาชน)  มีการใช้เทคโนโลยี  Smart Manufacturing  ซึ่งนำ 5G มาใช้ในโรงงาน   มีการทำงานร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ ชื่อ “เซี่ยซัน”  (Siasun Robot & Automation Co.Ltd หรือ SIASUN)  ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนในการสร้างโซลูชันขึ้นมา  และทำงานร่วมกับหัวเว่ยในการนำ 5G มาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์และเทคโนโลยีวิดีโอ  ด้วยเทคโนโลยี 5G ทำให้สแกนเห็นภาพได้  หุ่นยนต์สามารถทำงานได้หลากหลาย และแม่นยำโดยไม่ต้องกำหนดจุดหรือบังคับให้ทำงานตามเส้นทางที่กำหนด  ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการปรับสายการผลิตของผู้ประกอบการ

           นายธนพงษ์    บอกอีกว่า Use Case ในอนาคตจะมีการเปิดตัวออกมาอีกเรื่อย ๆ  โดยเกิดจากการที่ AIS  เดินเข้าไปหาลูกค้าที่มีความท้าทายอะไรใหม่  และนำมากรุ๊ปรวมหาพันธมิตร พร้อมขับเคลื่อนเพื่อสร้างเป็นนวัตกรรมขึ้นมา

           การก้าวสู่ปีที่ 33 ของ AIS ที่มีเป้าหมายในการเป็นพันธมิตรดิจิทัลเพื่อธุรกิจและสังคมไทย  ในปี 2566 นี้  AIS Business ยังคงเดินหน้าสร้างการ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”  ให้กับลูกค้าทั้งภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME  ในการทำ  Digital Transformation ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม  และพร้อมตอบโจทย์ทุกความท้าทายขององค์กรธุรกิจ ให้สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน.