“บ้านโป่งทาปิโอก้า” ชู “ BCG Model ” แนวทางดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน

นวัตกรรมยั่งยืน

                “ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา บริษัทเชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตอย่างมั่นคงนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาการบริหารจัดการที่ดีในทุกมิติ ทั้งเรื่องของชุมชน สิ่งแวดล้อมและการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบให้คุ้มค่ามากที่สุด ตลอดจนการมองหาโอกาสเพิ่มช่องทางที่จะทำให้สินค้าที่ผลิตมีมูลค่าที่สูงขึ้น”

               นี่คือความเชื่อมั่น.. ของบริษัทอุตสาหกรรมแป้งมันบ้านโป่ง จำกัด หรือ บ้านโป่งทาปิโอก้า ที่เติบโตจากบริษัทครอบครัว และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตแป้งมันแบบดั้งเดิม มาสู่  “ Texture House Company ”

               สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญและมีขนาดใหญ่  ซึ่งไทยเป็นผู้นำในการส่งออก  โดยมีผู้เกี่ยวข้องเป็นเกษตรกรกว่า 2 ล้านคน  เกิดการจ้างงาน 2 หมื่นคน สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยตรงกว่า 2 แสนล้านบาท  

               หากมองขนาดรายได้ของ “บ้านโป่งทาปิโอก้า”  ระดับสองพันล้านบาทต่อปี เรียกได้ว่า ยังเป็นบริษัทที่ไม่ใหญ่มาก แต่ความน่าสนใจอยู่ที่วิธีคิดที่ต้องการการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน  จึงมีความใส่ใจสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง  รวมถึงนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่างเหมาะสม  ทำให้ปัจจุบัน…แม้ไม่ได้เป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัททั้งในระดับประเทศและระดับโลก ที่สามารถดัดแปรแป้งมันสำปะหลังให้มีคุณสมบัติต่าง  ๆ ได้  

               …และเป็นอีกหนึ่งบริษัทตัวอย่างที่ใช้แนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับแนวคิด BCG Model  มาเป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง

               “ประสิทธิ์ สุขสมิทธิ์”  กรรมการผู้จัดการ บริษัทอุตสาหกรรมแป้งมันบ้านโป่ง จำกัด  กล่าวว่า บ้านโป่งทาปิโอก้า เป็นบริษัทครอบครัวที่เป็นชาวราชบุรี  เริ่มจากการผลิตแป้งมันสำปะหลังแบบดั้งเดิม ก่อนที่จะมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตไปสู่ “ Texture House Company ”    ปัจจุบันมีโรงงาน 11 แห่งในจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี มีพนักงาน 550 คน เป็นพนักงานในส่วนวิจัยและพัฒนา 45 คน และมีลูกค้ากว่า 200 ราย กระจายอยู่ใน 21 ประเทศทั่วโลก

               “และจากปัจจุบันหากมองย้อนไปดูแนวทางการดำเนินงานของบริษัท เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของบริษัทมีความสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติ BCG Model ที่ภาครัฐสนับสนุน  ซึ่งบริษัทมองว่า BCG Model  เป็นแนวทางพื้นฐานที่แท้จริงของการดำเนินธุรกิจ ที่จะสามารถทำให้บริษัทเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งในและต่างประเทศ”

               “กิตติ สุขสมิทธิ์” รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายซัพพลายเชน บ้านโป่งทาปิโอก้า  บอกว่า   คำว่า BCG Model ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบริษัท  ซึ่ง ณ วันนี้ บ้านโป่งทาปิโอก้า  กล้าพูดได้ว่า “ เราเป็นธุรกิจที่เดินตาม BCG Model ได้อย่างครบวงจร”

               เริ่มจากเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy)  ซึ่งธุรกิจของบ้านโป่งทาปิโอก้า เป็นด้านการเกษตรและธุรกิจอาหารจากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอยู่แล้ว  บริษัทมีการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายคอนแทร็กฟาร์มมิ่ง ปลูกมันสายพันธุ์พิเศษ เช่น ลูเซนท์ (LUCENT) เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของมันสำปะหลังและรับซื้อในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด 100 – 150% เกษตรกรในเครือข่ายได้รับการดูแลจากบริษัทอย่างครบวงจร บริษัทสามารถวางแผนการผลิตภายในบริษัทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น  นอกจากนี้บริษัทยังได้เริ่มมีการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบทางการเกษตร ในกลุ่มธัญพืช เพื่อนำมาพัฒนาเป็นแป้งที่มีมูลค่าสูง อย่างเช่น ถั่วเขียว ถั่วขาว และข้าว

               ส่วนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เนื่องจากหัวมันสำปะหลัง  ประกอบด้วยสามส่วน คือ แป้ง กาก และน้ำ หลังจากสกัดแป้งไปใช้   น้ำและกากมันรวมถึงเปลือกมัน ก็คือของเหลือใช้  บริษัทได้มีการหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด โดย กากมัน เปลือกมัน และตะกอนดิน ที่ติดมาจากมันสำปะหลัง บริษัทได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงแมลงสำหรับนำไปสกัดเป็นโปรตีน และยังนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตทรายแมว  ขณะที่น้ำเสียจากกระบวนการล้างมัน และน้ำที่สกัดออกมาจากหัวมัน ที่เป็นปัญหาสำหรับของโรงงานอุตสาหกรรมดั้งเดิม บริษัทได้มีการจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียแบบครบวงจร โดยส่วนหนึ่งใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดจนได้น้ำ สะอาดตามมาตรฐานกลับมาใช้ล้างหัวมันรอบใหม่ และอีกส่วนหนึ่งนำไปผลิตเป็นไบโอแก๊ส หรือ แก๊สชีวภาพสำหรับทดแทนเชื้อเพลิงพลังงานความร้อนในกระบวนการอบแป้ง   

               กระบวนการดังกล่าวช่วยลดการใช้พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเรื่อง เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)   นอกจากนี้บริษัทยังใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนจากโซลาร์ฟาร์มในช่วงเวลากลางวันอีกด้วย

               ด้าน นพ.สมิทธิ์ สุขสมิทธิ์  รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายงานนวัตกรรม บ้านโป่งทาปิโอก้า   บอกว่า  การนำความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาการผลิตของบ้านโป่งทาปิโอก้า นับว่าเป็นหัวใจของการเติบโตของบริษัทในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องของการขับเคลื่อนงานวิจัยพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ของบริษัทให้เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินกิจการจากโรงงานแปรรูปแป้งแบบเดิมเพื่อก้าวไปเป็น Texture House company เพื่อให้บริการ Texture Solution ที่จะเข้าไปช่วยแก้โจทย์ปัญหาทางด้านเนื้อสัมผัส  โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร อาหารทางการแพทย์ กลุ่มอุตสาหกรรมยา และ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร อย่างเช่น อุตสาหกรรมกระดาษ

                ปัจจุบันบ้านโป่งทาปิโอก้า ใช้ปริมาณหัวมันสำปะหลังจากเกษตรกรประมาณ 600,000 ตัน ซึ่งมาจากเกษตรกรในเครือข่าย 200,000ตัน และมาจากตัวแทนที่ป้อนมันให้กับบริษัท 300,000 ตัน  ต้นทุนหัวมันอยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อกิโล  บริษัทนำมาแปรรูปเป็นสินค้าใน 4 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ แป้งมันสำปะหลังแบบดั้งเดิม (Native starch) มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 15%  มูลค่าตลาดแป้งประเภทนี้ประมาณ 12 บาทต่อกิโลกรัม กลุ่มที่สอง คือแป้งมันดัดแปรพื้นฐาน (Basic Modified Starch) มีปริมาณการผลิต  41 %  มูลค่าประมาณ 25 บาทต่อกิโลกรัม  

               กลุ่มที่สาม คือ แป้งดัดแปรมูลค่าสูง (High Value Food Texture Solution)  ที่นำไปใช้สำหรับการปรับเปลี่ยนและพัฒนาเนื้อสัมผัสในอาหารและเครื่องดื่ม มีปริมาณการผลิต  41%  มูลค่าประมาณ 50 บาทต่อกิโลกรัม  และกลุ่มที่สี่ คือ แป้งดัดแปรที่นำไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารทางการแพทย์ (Nutrition) ซึ่งมีปริมาณการผลิตประมาณ 3 % มูลค่าของแป้งประเภทนี้อยู่ที่ ประมาณ 100-800 บาทต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับการนำไปทำอาหารทดแทนประเภทไหน 

               อย่างไรก็ดีทิศทางการผลิตของบ้านโป่งทาปิโอก้า คือ ขยายสัดส่วนการผลิตและการตลาด สินค้าในกลุ่ม High Value Food Texture Solution และ Nutrition ให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีเป้าหมายว่าจะเป็นสินค้าหลักของบริษัทในอนาคต