เริ่มแล้ว! ดวงอาทิตย์ตั้งฉากวันแรกของปี 12:19 น.วันนี้ ที่เบตง จ. ยะลา

News Update

ร้อนไหม..สดร. เปิดไทม์ไลน์ดวงอาทิตย์ตั้งฉาก 77 จังหวัดของประเทศไทยปี 2567 ทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 4 เมษายน 2567 เริ่มจากทางใต้สุด ณ อ. เบตง จ. ยะลา และสิ้นสุดในวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 ณ อ. แม่สาย จ. เชียงราย ในช่วงที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากจะดูเสมือน “ไร้เงา” เนื่องจากเงาของวัตถุจะตกอยู่ด้านใต้พอดี ทั้งนี้ อาจไม่ใช่วันที่ร้อนที่สุดของปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

           นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์  สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับพื้นที่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของปี เริ่มจากทางใต้สุดที่ อ. เบตง จ. ยะลา ในวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 12:19 น. จากนั้นดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับพื้นที่ต่าง ๆ ของไทย ไล่ลำดับขึ้นไปทางเหนือเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดที่ อ. แม่สาย จ. เชียงราย ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 12:17 น.  

           สำหรับกรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ตั้งฉากครั้งแรกของปีในวันที่ 26 เมษายน 2567 เวลา 12.16 น. หากเราสังเกตวัตถุกลางแดดในช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากตามเวลาของแต่ละพื้นที่ จะเห็นวัตถุเสมือนไร้เงา เนื่องจากเงาของวัตถุจะตกอยู่ด้านใต้พอดี

           ทั้งนี้ แม้ว่าดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นโลกทำให้ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ แต่อุณหภูมิจะสูงที่สุดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณฝน เมฆ อิทธิพลจากมรสุม ความร้อนสะสม ฯลฯ ที่อาจส่งผลต่ออุณหภูมิ ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่วันที่ร้อนที่สุดของปีเนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนระหว่างแนวละติจูด 5-20 องศาเหนือ ส่งผลให้ในหนึ่งปี ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนผ่านใกล้จุดเหนือศีรษะ หรือตั้งฉากกับพื้นที่ดังกล่าวถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และครั้งที่ 2 ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน

           อย่างไรก็ดีวันและเวลาของการเกิดปรากฏการณ์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของผู้สังเกตบนโลก ส่งผลให้แต่ละจังหวัดของประเทศไทยจะมีวันและเวลาการเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ตั้งฉากที่แตกต่างกัน ดูข้อมูลการเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ตั้งฉากทั้ง 77 จังหวัดในประเทศไทยได้ที่ https://www.narit.or.th/index.php/news/4010