ผลสำรวจการใช้ดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรมไทยปี 2567

News Update

           ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมการผลิตส่วนใหญ่ของประเทศไทย เรียกได้ว่ายังอยู่ในยุคที่เรียกว่า “Industry 3.0”  ที่แม้จะมีการนำเทคโนโลยีไอที เช่น คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการผลิต   แต่ก็ยังก้าวไปไม่ถึง “ Industry4.0”  หรือ ยุค “IIoT ” ที่เป็นเป้าหมายสำคัญ  ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบบูรณาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

           หลายปีที่ผ่านมา หลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีพยายามขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจทัล  หรือ  Digital Transformation  โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย

           แต่…ล่าสุด ผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม  ประจำปี 2567  ที่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า   เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กลับพบว่า   การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ  2.0  หรือ Solution  ขยับจากการสำรวจในปี 2563 ที่เป็นการใช้งานระดับ 1.0 หรือ Manual   ที่เป็นการทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องมือ Analog และกระบวนการแบบ Manual เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ และการส่งเอกสารผ่านอีเมล  มาเป็น  2.0 ที่มีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบบฟอร์มออนไลน์ หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน

           ดังนั้นการเติบโตของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสากรรมการผลิตของไทย ในปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า แม้จะมีการเติบโต แต่ก็แบบทรงตัว และ ต่ำกว่าเป้าหมาย ที่เคยคาดกันไว้ว่าควรจะอยู่ในระดับ 3.0 หรือ Platform   ขณะที่ระดับ 4.0 ของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม  คือ Automation หรือใช้งานระบบอัตโนมัติ

           การเติบโตแบบช้า  ๆ หรือทรงตัวนี้    ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์   ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า บอกว่า แม้ประเทศไทยสถิติด้านศักยภาพการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม อยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน แต่หากสภาพเศรษฐกิจเป็นแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย  ๆ ไป     ต่างจากประเทศที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จะทำให้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี เกิดการย้ายฐานการผลิตได้

           ทั้งนี้ผลสำรวจดังกล่าวเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)  ที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ 

            ดำเนินการสำรวจใน 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก  

            โดย ผลสำรวจ แบ่งออกเป็น  5  ประเภทตามกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย

1. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ 

           ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 ซึ่ง 57% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้คำสั่งซื้อออนไลน์โดยการเปิดเว็บไซต์เพื่อรับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยาง เริ่มใช้ระบบ ERP ในการบริหารคลังสินค้า

2. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ออกแบบผลิตภัณฑ์)

           ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 90.67% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้โปรแกรมช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น Computer-Aided Design (CAD) หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยวาดภาพ 2D/3D และสร้างชิ้นส่วน ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบเริ่มนำระบบจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น Product Data Management (PDM) และ Product Lifecycle Management (PLM) มาใช้ออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ กระดาษและการพิมพ์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยาง เริ่มนำ AI และ VR มาใช้จำลองหรือสร้างโลกเสมือนในรูปแบบสามมิติเพื่อช่วยออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์

3. เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต

            ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 87.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้เครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เรียบง่าย เช่น การใช้ Computer Numerical Control (CNC) หรือเครื่องจักรกลแบบอัตโนมัติที่มีการทำงานด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบอัตโนมัติทั้งหมดหรือบางส่วน เช่น การใช้หุ่นยนต์ หรือการใช้ Programmable Logic Controller (PLC) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตในเกือบทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงอุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีการนำระบบประมวลผลการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้ Manufacturing Execution System (MES) หรือการใช้ Automated Guided Vehicle (AGV) มาใช้ในกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์

4. เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

           ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 70% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้อีเมลเพื่อติดต่อลูกค้า และใช้ Customer Relationship Management (CRM) มาช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์กับลูกค้า   ซึ่งทุกอุตสาหกรรมนำระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือ Customer Data Analytics โดยการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ ข้อมูลผลลัพธ์การโฆษณา ข้อมูลการใช้ Social Media ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวมาสร้าง Big Data และนำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้าเพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์/บริการที่ตรงกับความต้องการ  ทั้งนี้มีบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ กระดาษและการพิมพ์ เริ่มใช้ระบบ AI ในการให้บริการลูกค้า เช่น Chatbot และระบบการตอบกลับอัตโนมัติไปยังข้อความใน Social Media

5. เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ

            ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 69.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้ระบบสารสนเทศแบบแยกส่วนในบางแผนก/ฝ่าย เช่น การใช้ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ในการบริหารจัดการธุรกิจ นอกจากนี้ ในบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ เริ่มใช้ระบบสารสนเทศขั้นสูง เช่น การใช้ Business Intelligence Tools หรือซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวกับการเก็บรวมรวบข้อมูล ทั้งข้อมูลสารสนเทศ ข้อมูลเทคโนโลยี ข้อมูลการตลาด และข้อมูลทางธุรกิจอื่น ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ธุรกิจในแต่ละด้าน และวางแผนการดำเนินงานล่วงหน้า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีการใช้ระบบ AI เช่น การทำ Big Data Analytics หรือการวิเคราะห์เซ็ตข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ของข้อมูลเหล่านั้น เช่น การหาเทรนด์ทางการตลาด ความต้องการของลูกค้า และข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ

            อย่างไรก็ตาม แม้ภาคอุตสาหกรรมเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล และให้ความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับ 4.0: Automation โดยมีแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สูงขึ้น  มีการใช้ระบบอัตโนมัติ/ระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการและวางแผนมากขึ้น มีการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อใช้บริหารจัดการธุรกิจเพิ่มขึ้น  และแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขยับตัวไปที่ระดับ 3.0: Platform มากขึ้น แต่ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างยังชี้ให้เห็นว่า การขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การขาดแคลนพนักงาน/แรงงานที่มีทักษะดิจิทัล การขาดแคลนเงินทุน และการที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็กยังไม่เหมาะที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งหมดถือเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับที่สูงขึ้น

            “ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขัน แม้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมที่จัดโดย UNIDO แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังครองอันดับที่สาม รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย  แต่หากไม่เร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้ ทั้งการพัฒนาทักษะบุคลากร และการส่งเสริมการทำ Digital Transformation โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประเทศไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากผลิตภาพการผลิตสูงถึงกว่า 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือ 10 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ”  ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว