“DDC-Care Platform” เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดนความสำเร็จจากการเฝ้าระวัง “โควิด-19” สู่ “โรคเมอร์ส”

News Update

  

กลับมาอีกครั้ง !  กับ “ DDC-Care Platform ”  เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการคัดกรองและเฝ้าระวังโรคโควิด-19  ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย  ผลงานนักวิจัยไทยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

              ล่าสุด..สวทช. และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข  ประกาศความสำเร็จในการต่อยอดใช้งานระบบ “ DDC-Care Platform”  กับมาตรการเฝ้าระวังโรคโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ เมอร์ส (MERS-CoV)   สำหรับผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลประชาชนและรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทย  ซึ่งที่ผ่านมากรมควบคุมโรค ได้มีการนำระบบดังกล่าว มาประยุกต์ใช้ในการเฝ้าระวังความเสี่ยงโรคเมอร์ส ใน 7 จังหวัดภาคใต้ พื้นที่เขตสุขภาพที่ 12  

              นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง อว. กล่าวว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลประชาชนและรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทยให้เกิดความปลอดภัยและเฝ้าระวังสุขภาพของผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่าน  ทางกรมกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวง อว. โดย สวทช.  ได้จัดเตรียมความพร้อมนำระบบ DDC-Care Platform  มาใช้ในการเฝ้าระวังโรคเมอร์ส (MERS-CoV) ในผู้แสวงบุญที่เดินทางกลับจากการไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุกของกรมควบคุมโรค โดยต่อยอดจากแนวคิด “Hajj 5G 5Good” ได้แก่ Good Price ราคาดี มีคุณภาพ  Good Service บริการดี  Good Care  เอาใจใส่ดี  Good Health  สุขภาพดี และ Good Relations  ความสัมพันธ์ดีระหว่างประเทศ   

              นายศุภชัย ย้ำว่า ไม่ได้ต้องการให้เกิดความกังวลในหมู่พี่น้องชาวไทยมุสลิมว่า การเดินทางไปแสวงบุญ จะมีการแพร่ระบาดหรือติดเชื้อของโรคดังกล่าวในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพียงแต่เป็นมาตรการป้องกันของรัฐบาลที่นอกจากจะมีการส่งทีมแพทย์ไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้ว  ยังติดตามดูแลสุขภาพหลังจากเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกด้วย  

              ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.  กล่าวว่า ระบบ DDC-Care  ที่พัฒนาโดย สวทช. และกรมควบคุมโรค   ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรระบบ Cloud จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นระบบติดตาม ผู้มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ ติดตาม เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ เพื่อรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที

              “แพลตฟอร์มดังกล่าว   มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุข โดยสามารถประยุกต์ใช้ป้องกันและเฝ้าระวังโรคอุบัติซ้ำ หรือ โรคติดต่ออันตราย ซึ่งกรมควบคุมโรค นำระบบ DDC-Care ไปใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ในกลุ่มพี่น้องคนไทยเชื้อสายมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ”   

              ด้าน นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การทำงานของกรมควบคุมโรค   จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ และแนะนำให้ใช้แอปพลิเคชัน DDC-Care ในการรายงานสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผู้ที่อาจจะเสี่ยงเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์สภายหลังจากเดินทางกลับจากการประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง และเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ลดการแพร่กระจายของโรคทั้งในครอบครัวและชุมชน

              “ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้นำระบบ DDC-Care มาใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคเมอร์ส ใน 7 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อบริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ ดังนั้นระบบ DDC-Care จึงถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเฝ้าระวังและรับมือกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว” 

              ด้าน ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล  นักวิจัยจากสวทช.  อธิบายถึงการใช้งาน DDC-Care Platform  ว่า สำหรับการใช้งานของผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ซาอุดิอาระเบียนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมโรค เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ช่วยแนะนำถึงในบ้านหลังจากการดาวน์โหลดแอพและล็อกอินตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ส่วนการใช้งานก็ง่ายเพียงล็อกอินเพียงวันละหนึ่งครั้ง รายงานสุขภาพตามรายการที่มี และจะมีคำถามตอบว่า มีอาการอย่างไร เช่น ปวดหัว มีไข้ จากนั้นให้กรอกตามอาการที่มี ถ้าไม่มีอาการก็กรอกข้อมูลว่าไม่มีอะไร ระบบก็จะประเมินว่า เรามีความเสี่ยงในการเป็นโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์สมากน้อยแค่ไหน และมีความเสี่ยงในระดับไหน เช่น ไม่เสี่ยงเป็นสีเขียว เสี่ยงต่ำเป็นสีเหลือง เสี่ยงปานกลางเป็นสีส้ม และมีความเสี่ยงมากเป็นสีแดง นอกจากนั้นจะมีคำแนะนำด้านสุขภาพให้ปฏิบัติตาม ถ้าเสี่ยงมากระบบจะแนะนำให้พบเจ้าหน้าที่ก็จะมีปุ่มให้โทร.ออกที่เบอร์ 1422 ของกรมควบคุมโรคโดยอัตโนมัติ จะเห็นว่าขั้นตอนการใช้งานง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพียงแต่ต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือของผู้ที่จะเดินทางหรือบุคคลในครอบครัวเพื่อรายงานอาการ 

              นอกจาก DDC-Care แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนาต่อยอดระบบวัคซีนพาสปอร์ต INTERVAC มาสู่ INTERVAC HAJJ สำหรับการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้หวัดใหญ่ และไข้เหลือง ให้กับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์  โดยเริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2565 โดยระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ทำการบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ เมื่อมีการนำระบบ INTERVAC มาใช้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลแล้วจะสามารถพิมพ์สมุดเล่มเหลืองได้ทันที พร้อมทั้งใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ QR Code

              “ความสำเร็จของแพลตฟอร์ม DDC-Care และ ระบบ INTERVAC จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในภาคการดูแลสุขภาพ และสามารถนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อการยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทยทุกคน”