ไทยคว้าอันดับ 44 ดัชนีนวัตกรรมไทยจาก 131 ประเทศทั่วโลก

News Update

เอ็นไอเอชี้ปีนี้แม้ลำดับลดลงจากอันดับ 43 ในปี 2562 แต่โครงสร้างพื้นฐาน ระบบตลาด ระบบธุรกิจและผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ ดีขึ้น และยังคว้าอันดับ 1 ด้าน การลงทุนใน R&D ของเอกชน

               ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน)หรือเอ็นไอเอ (NIA) กล่าวว่า จากการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก Global Innovation Index : GII ประจำปี 2563 ภายใต้ธีมใครจะจ่ายเงินทำนวัตกรรม : Who Will Finance Innovation? ซึ่งจัดโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยคอร์เนล และ The Business School for the World (INSEAD) เพื่อวัดระดับความสามารถทางด้านนวัตกรรมโดยเฉพาะด้านการเงิน ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากบริบทของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า -19 (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและภัยพิบัติทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง

                ซึ่งผลการจัดอันดับความสามารถทางด้านนวัตกรรมในปีนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 44 จากทั้งหมด 131 ประเทศ ลดลงจากปี 2562 ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 43 โดยในปีนี้ปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) อยู่อันดับที่ 48 และปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) อยู่อันดับที่ 44 ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (upper middle-income economies) ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 จากจำนวน 37 ประเทศ รองจากรองจากประเทศจีน มาเลเซีย และบัลแกเรีย และประเทศไทยยังมีอันดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในทุกปัจจัย ยกเว้นปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย แต่หากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 จากจำนวน 17 ประเทศ

               ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า ปัจจัยชี้วัดความสามารถด้านนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 7 มิติ คือ 1. สถาบัน 2 .ทุนมนุษย์และการวิจัย 3. โครงสร้างพื้นฐาน 4. ระบบตลาด 5. ระบบธุรกิจ 6.ผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และ 7. ผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ โดยประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นถึง 4 มิติ คือ โครงสร้างพื้นฐาน (อันดับ 67 เดิม 77) ระบบตลาด (อันดับ 22 เดิม 32) ระบบธุรกิจ (อันดับ 36 เดิม 60) และผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ (อันดับ 52 เดิม 54) โดยในรายดัชนีชี้วัดย่อย ประเทศไทยทำอันดับได้ดี โดยได้อันดับ1. ในด้านค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนาซึ่งลงทุนโดยองค์กรธุรกิจต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศไทยมุ่งเน้นเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรมมากขึ้น

               นอกจากนี้ ยังมีมิติด้านผลผลิตทางนวัตกรรมทั้งในส่วนของผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ถูกจัดอันดับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะดัชนีชี้วัดย่อย การส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ ถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของโลกที่มีการสินส่งสินค้าประเภทนี้มากที่สุด แต่อุปสรรคสำคัญในการสร้างขีดความสามารถนวัตกรรมที่ยังเป็นข้อด้อยของประเทศ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม เช่น สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ อัตราส่วนของครูและนักเรียน และการบริการนำเข้าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การบริการส่งออกเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น

               “แม้ว่าในปีนี้อันดับดัชนีนวัตกรรมจะลดลง แต่ในด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป จำนวนบุคลากรที่มีความรู้ในประเทศ การดูดซับองค์ความรู้ และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับความเป็นอยู่ของคนในประเทศมีอันดับที่ดีขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ เพียงเร่งเสริมมาตรการที่เป็นจุดด้อยให้ตรงจุดโดยเฉพาะการพัฒนาทุนมนุษย์และการวิจัย และการเชื่อมโยงต่อยอดการสร้างนวัตกรรมที่มีอยู่แล้วในสร้างการไต่ระดับพัฒนาการทางนวัตกรรมที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป” ดร.พันธุ์อาจ กล่าว

               สำหรับ 10 อันดับแรกของประเทศที่มีผลชี้วัดทางนวัตกรรมที่ดีที่สุด ประจำปี 2563 อันดับที่ 1 คือ สวิตเซอร์แลนด์ อันดับที่ 2 สวีเดน อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 4 สหราชอาณาจักร อันดับที่ 5 เนเธอร์แลนด์ อันดับที่ 6 เดนมาร์ก อันดับที่ 7 ฟินแลนด์ อันดับที่ 8 สิงคโปร์ อันดับที่ 9 เยอรมนี และอันดับที่ 10 เกาหลี