โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. จับมือ อย., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล พัฒนา “ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” พร้อมเปิดให้ทดลองใช้ปลาย 2564 ด้วยข้อมูลพืชสมุนไพรไม่ต่ำว่า 50 ชนิด
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2020/12/ผอ.นาโน.jpg)
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ(นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช. มีภารกิจที่สำคัญด้านการพัฒนาวิจัย ซึ่งรวมถึงคิดค้นผลงานที่มีการนำพืชสมุนไพรมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น โดยใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งมีการดำเนินการโดยศูนย์วิจัยแห่งชาติ ภายใต้ สวทช. เช่น นาโนเทค รวมไปถึงการกำหนดกลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย ด้านเวชสำอาง (TDG: Cosmeceuticals) ซึ่งเป็นโปรแกรมวิจัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่พัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดแบบ Green extraction
ทั้งนี้ความต้องการสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือ แหล่งของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ซึ่งประเทศไทยมีเพียง 1 ฐานข้อมูล คือ ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง (Thai Medicinal Plants for Cosmetics Database; TMPCD) ของกลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2020/12/ลงนาม.jpg)
สวทช. โดยโปรแกรมเวชสำอาง และ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) จึงร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย และกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สถาบันวิจัยสมุนไพร และสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ลงนามในบันทึกความร่วมมือ “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” เพื่อสนับสนุนและผลักดันการจัดทำฐานข้อมูลกลางสำหรับผู้ประกอบด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. กล่าวว่า “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” จะเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ ทั้งในส่วนข้อมูลและรูปแบบการใช้งาน มีการคัดเลือกและกำหนดพืชสมุนไพรเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
“สำหรับโครงการในระยะที่ 1 นี้ มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2564-2568) โดยปี 2564 จะเป็นการเริ่มต้นสร้างฐานข้อมูลพืชสมุนไพรเป้าหมายจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ชนิด ที่พร้อมให้บริการและจะเพิ่มจำนวนขึ้นในปีถัดไป โดยตัวอย่างพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในฐานข้อมูลได้ แก่ กระชายดำ ไพล ขมิ้นชัน บัวบก เป็นต้น โดยพืชทั้ง 4 ชนิด ซึ่งได้มีการกำหนดเป็น Product Champions ของประเทศ ทั้งนี้ตั้งเป้ามีข้อมูลพืชสมุนไพรไม่น้อยกว่า 1,000 ชนิด ภายในปี 2568 หรือเมื่อสิ้นสุดโครงการในระยะที่ 1”
สำหรับฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ในระยะแรก (เฟสที่ 1: 2564-2568) จะเป็นข้อมูลทั่วไปที่รวบรวมข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ อาทิ ชื่อพืช การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ส่วนที่ใช้ สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นบ้านตามภูมิปัญญาไทย การสกัด แยกและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ สารสำคัญในสมุนไพร ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง อาการไม่พึงประสงค์ ผลงานวิจัย และเอกสารอ้างอิง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อบังคับ/กฎหมายที่กำกับดูแลของสมุนไพรที่มีศักยภาพด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยอย่างน้อย 50 ชนิด
ส่วนในระยะต่อไป จะเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญของสมุนไพรในด้านข้อมูลลำดับนิวคลีโอไทด์ (Whole-genomesequence) ความหลากหลายทางพันธุกรรม ชนิด สายพันธุ์ พันธุ์ดีเด่น พร้อมข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์ทางการผลิต และการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร เช่น ลักษณะการเกษตร การเจริญเติบโต ผลผลิต สารพฤกษเคมี (Phytochemical profile) และผลการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioassay) รวมทั้ง ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างกลไกของของสาระสำคัญจากสมุนไพรที่มีต่อเซลล์และร่างกาย
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2020/12/อย..jpg)
ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อย.ได้จัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง หรือ THAI MEDICINAL PLANTS FOR COSMETICS DATABASE ประกอบไปด้วยสมุนไพร 340 ชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ เอกลักษณ์ต่างๆ ของสมุนไพร ส่วนที่ใช้และการนำไปใช้ทางเครื่องสำอาง ที่ผู้ประกอบการหรือผู้สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลของสมุนไพรแต่ละตัวได้ โดยอาจต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย
ในขณะเดียวกัน การพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ร่วมกับพันธมิตรอีก 3 หน่วยงานนี้ ขอบเขตความร่วมมือและบทบาทของ อย. ในความร่วมมือนี้ จะร่วมพัฒนาและสนับสนุนฐานข้อมูลพืชสมุนไพรด้านสรรพคุณและหน้าที่สารออกฤทธิ์สำคัญ (Functional & health claims) ของสมุนไพรสำหรับใช้เป็นข้อกำหนดในการตรวจสอบเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก และเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเชื่อว่า ความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ผู้ผลิตเครื่องสำอาง และผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรสู่นวัตกรรมด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอกอย่างยั่งยืน
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2020/12/กรมการแพทย์.jpg)
นายแพทย์ พิเชฐ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยินดี ร่วมพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรดังกล่าวเพื่อความสะดวกและเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลที่สำคัญของสมุนไพรโดยเป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจ อันจะส่งผลให้เกิดการผลักดันการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่าของสมุนไพร เป็นการเพิ่มโอกาสให้สมุนไพรไทยสามารถเข้าแข่งขันในเวทีการค้าระดับโลกได้
![](http://www.innolifethailand.com/online/wp-content/uploads/2020/12/มหิดล.jpg)
รองศาสตราจารย์ ภก.สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยสำนักงานข้อมูลสมุนไพร มีพันธกิจหลักในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อรักษามรดกทางความรู้ด้านสมุนไพรและให้บริการข้อมูลสมุนไพรให้กับหน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาองค์ความรู้และการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายฐานข้อมูลครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่มีโอกาสส่งผลให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของสมุนไพรไทย และนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย
“เป้าหมายสำคัญของความร่วมมือจาก 4 หน่วยงานที่แข็งแกร่งนี้ คือ การปูทางให้เกิดการนำสมุนไพรไทยไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐาน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยภาคเอกชนสามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่ดี มีมูลค่าสูง สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน” ดร.วรรณี กล่าว