พนัส แอสเซมบลีย์ ย้ำความสำคัญ R&D ชี้“ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง” ช่วยเร่งยกระดับเอสเอ็มอีไทย

New Energy

             ปฏิเสธไม่ได้ว่า…หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคมนาคมแห่งอนาคต อย่าง “ ยานยนต์ไฟฟ้า  หรือ EV ” ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวิจัยและพัฒนา ( R&D) ในการสร้างองค์ความรู้เชิงลึกที่เป็นของตนเอง  เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

           “พนัส แอสเซมบลีย์”  คือ ตัวอย่างของบริษัทสัญชาติไทยที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ   ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้า การสัญจรอัจฉริยะและโมบิลิตี้แพลตฟอร์มที่สนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์      

           นายพนัส วัฒนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ฯ มีการวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์มานานแล้ว  โดยก่อนหน้านี้อาจไม่ได้เรียกว่า R&D   แต่เป็นกระบวนการทำ Engineering   และเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเมื่อ 8-9 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งมองว่ากระบวนการนี้สำคัญ เพราะทำให้เข้าใจและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว  และเมื่อมาทำเรื่อง Electric Vehicle  (EV)  หรือ ยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ของบริษัท   การทำ R&D แบบเทคโนโลยีเชิงลึกหรือดีพเทคจะสำคัญอย่างมาก  เพราะเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้าแม้จะประกอบให้วิ่งได้ แต่ถ้าโปรแกรมไม่ดีก็อาจมีปัญหาได้  นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาให้เข้ากับการใช้งานในประเทศไทยซึ่งมีปัจจัยเรื่องสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

            “ผมคิดว่าอนาคตของประเทศไทย จำเป็นที่จะต้องลงลึกด้าน R&D จริง ๆ  โดยเฉพาะสินค้าทางด้านยานยนต์ที่ไทยมีแบรนด์ที่เป็นของคนไทยเองน้อยมาก  แต่มีต่างชาติเข้ามาผลิตในประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่าเป็น GDP ที่นับแค่มูลค่าการผลิตที่เกิดขึ้นในไทย   แต่ถ้าเรามองถึงสิ่งที่เรียกว่า GNP ซึ่งเป็นมูลค่าการผลิตที่ใช้ปัจจัยการผลิตของประเทศแล้ว  จะพบว่าผลิตภัณฑ์ของคนไทยจริง  ๆ  เฉพาะด้านยานยนต์นั้นแทบจะไม่มีเลย  ดังนั้นการทำ R&D  แบบเชิงลึก จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มสร้าง  GNP  ขึ้นมาอย่างจริงจัง  ซึ่งหากปล่อยตามกลไกของตลาด  จะมีแต่ GDP  จากการที่ต่างประเทศเข้ามาตั้งโรงงานผลิต หรือนำเข้ารถไฟฟ้าทั้งคัน และสุดท้ายเราจะเป็นเหมือนเดิมคือ การรับจ้างผลิตหรือขายแรงงาน”

           ที่ผ่านมา บริษัทพนัสฯ  ได้มีการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมมือสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ  รวมถึงได้รับการสนับทุนวิจัยจากหน่วยบริการและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในการพัฒนา “ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงหรือ EV Conversion”  ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของตลาดโดยเฉพาะในธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนฝูงรถขนส่งเดิมที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปใช้น้ำมันมาเป็นการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในงบประมาณที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการใช้น้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ยังรองรับกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโลกที่อนาคตภาคเอกชนจะต้องปรับเปลี่ยนระบบขนส่งไปสู่ระบบที่ปล่อยมลพิษต่ำ

           นายพนัส กล่าวว่า   อยากให้เมืองไทยมีเทคโนโลยีของตัวเอง  และจะพยายามกระจายออกไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อยให้มากที่สุดผ่านการพัฒนาบุคลากร การฝึกงานนักศึกษา การส่งเสริมสตาร์ทอัพ และผลักดันให้เอสเอ็มอีหรือผู้ประกอบการอู่ซ่อมรถต่าง ๆ ได้มีโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้เชิงลึกมากขึ้น โดยพัฒนาเป็นโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ ซึ่งไม่ใช่แค่ซื้ออุปกรณ์มาประกอบ หรือซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ แต่เป็นการเรียนรู้ที่ได้เข้าถึงต้นตอของเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้บริษัทเล็ก ๆ  เหล่านี้ สามารถที่จะคิดค้นนวัตกรรมหรือพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานขึ้นมาได้ในอนาคต   

           “เรามองโครงการ EV Conversion ที่ บพข .ให้การสนับสนุนจะเป็นเสมือน “คานงัด”  ที่เร่งยกระดับเอสเอ็มอีไทยให้สามารถสร้างนวัตกรรมเองได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน   ซึ่งทุนจาก บพข. มีความสำคัญกับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างมาก เพราะหากใช้ความสามารถของผู้ประกอบการอย่างเดียวไม่อาจจะพัฒนางานวิจัยเชิงลึกให้ทันโลกและทันต่อความต้องการของตลาดได้ อย่างไรก็ดี ยังอยากเห็นการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้น ทั้งด้าน Ecosystem   และมาตรการส่งเสริมต่าง  ๆ   รวมถึงการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ  ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวที่มีการกำหนดหมุดหมายที่ชัดเจนด้าน EV Conversion  โดยกำหนดอยู่ในโรดแมปของประเทศ ซึ่งภายในปี 2030  จะต้องมีรถ EV Conversion ถึงประมาณกว่า 8 หมื่นคัน ”

           ด้าน ดร. วิมล แสนอุ้ม ผู้อำนวยการหน่วยกลยุทธ์ธุรกิจนวัตกรรม บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด เปิดเผยว่าเนื่องจากเรามองรถไฟฟ้าเป็นคอมพิวเตอร์ที่วิ่งได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นหัวใจสำคัญของรถ และส่งผลกระทบต่อการใช้งานในอนาคต  หากนำเข้ารถไฟฟ้าจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว อาจเจอปัญหาการเข้าถึงซอฟต์แวร์ไม่ได้ ติดลิขสิทธิ์หลังการขายรวมถึงการเข้ารหัสต่าง ๆ  และขาดการพัฒนาบุคลากร ทำให้เราต้องศึกษาจนลึกซึ้ง

           โดยในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงหรือ EV Conversion จะเป็นอุตสาหกรรมที่กลุ่มบริษัทที่เป็นคนไทยได้ทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ มีศักยภาพเพียงพอที่ทำได้ โดยเป็นกระบวนการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นพลังานไฟฟ้า ซึ่งจะนำรถที่ใช้น้ำมันที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 5-12 ปี   มาเอาระบบเครื่องยนต์เดิมทั้งหมดออก แล้วใส่ชุดเพาเวอร์แพค ซึ่งประกอบด้วย ชุดแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า เพลา คอนโทรลเลอร์ระบบควบคุม และซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการต่าง ๆ   รวมถึงระบบสื่อสารของตัวรถเข้าไปแทนที่ โดยใช้ตัวโครงสร้างรถเดิมที่ยังอยู่ในสภาพดี ทำให้การใช้งานเหมือนกับรถไฟฟ้าใหม่ที่นำเข้าทั่วไป แต่ราคาถูกกว่า ซึ่งเป้าหมายของพนัส ฯ คือ ถูกกว่ารถใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 %  

           ทั้งนี้  “ รถบรรทุกหกล้อไฟฟ้าดัดแปลง” ซึ่งได้รับทุนจาก บพข. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบการใช้งานระยะสุดท้าย คาดว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ 

           ดร. วิมล  ย้ำว่า จุดเด่นผลิตภัณฑ์ของพนัส แอสเซมบลีย์ คือ การออกแบบที่คำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของไทยเป็นหลัก   รถไฟฟ้าสำหรับการขนส่งเชิงพาณิชย์ของพนัสจะมีเกียร์สำหรับขึ้นเขา และเมื่อลงเขาจะมีระบบชาร์จไฟจากมอเตอร์กลับเข้ามาที่แบตเตอรี่  มีระบบระบายความร้อนแบบอัตโนมัติให้กับระบบเพาเวอร์แพค และมีระบบบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะต่าง ๆ  ข้อมูลจีพีเอส สามารถส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์  แสดงผลผ่านแดสบอร์ด  และกลายเป็นบิ๊กดาต้าในอนาคต โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพถนน การบรรทุกต่าง ๆ  การควบคุมกฎหมายและการตรวจสอบย้อนกลับ   นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโปรแกรมออกแบบวิเคราะห์ขนาดแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับพื้นที่และการใช้งานจริงของลูกค้า   เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้งานรถไฟฟ้าดัดแปลง มากที่สุด

           “ตลาด EV Conversion แม้จะมีดีมานด์ในตลาดค่อนข้างสูง แต่ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผู้ประกอบการ  ซึ่งพนัสฯ  มุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐาน   โดย EV Conversion จะเป็นมิติใหม่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและเกิดเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี และเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG อย่างแท้จริง”

             อย่างไรก็ดี พนัส แอสเซมบลีย์  เตรียมนำเสนอผลงาน ภายในงาน “ เชื่อมโลก เชื่อมไทย เพิ่มขีดความสามารถทุกธุรกิจด้วย งานวิจัย และ นวัตกรรม”  หรือ “PMUC RESERCH for Thailand’s Competitiveness 2023 ”    ซึ่งหน่วยงานบริหารจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.) จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 26-27 เมษายนนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์