“วิชัย กำเนิดมงคล” จาก Coffee De Hmong จังหวัดน่าน คว้าชนะเลิศเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดดีเด่น 2566

Cover Story

           มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิดร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดงานประกาศผลรางวัลเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดดีเด่น ประจำปี 2566   ซึ่งปีนี้โครงการคัดเลือกเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด จัดขึ้นเป็นปีที่ 15 ภายใต้แนวคิด “ผู้ประกอบการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agri-Entrepreneur)”

           นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด กล่าวในฐานะผู้ริเริ่มโครงการว่า มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 ด้วยความตั้งใจที่จะร่วมกันสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมไทย โดยมูลนิธิฯได้ดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ ภายใต้ 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ โครงการสำนึกรักบ้านเกิด สนับสนุนด้านการศึกษา กิจกรรมอาสาร่วมด้วยช่วยกัน ช่วยเหลือทุกความเดือดร้อน และกิจกรรมเพื่อสังคม ผ่านเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทั่วประเทศ และโครงการคัดเลือกเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด  ซึ่งปัจจุบันมีเครือข่ายเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดประสบความสำเร็จในอาชีพเกษตรกรมากมายและส่งต่อแรงบันดาลใจในการทำเกษตรอย่างยั่งยืน 

            “ในปีนี้ ได้กำหนดแนวคิดการคัดเลือกเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ภายใต้กรอบ ผู้ประกอบการเกษตรอัจฉริยะ   โดยส่งเสริมให้เกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดในเชิงการตลาด โดยมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ รู้จักการบริหารจัดการและใช้เทคโนโลยีในการผลิต แปรรูป และการจัดจำหน่าย มุ่งเน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกร สนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อย ขยายโอกาสทางตลาด ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าของสินค้า และสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนรวมถึงการแข่งขันกับต่างประเทศ เพื่อเป็นผู้ประกอบการเกษตรอัจฉริยะ ซึ่งต้องมีความเป็นผู้นำ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีความคาดหวังว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และภาคการเกษตรของประเทศไทย”   

          นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์  ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า การดำเนินงานของกรมส่งเสริมการเกษตร ต้องบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน อย่างเช่น โครงการประกวดเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 15 ปี นับเป็นบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ และเชิดชูเกษตรกรที่มีศักยภาพในการเป็นเกษตรกรต้นแบบ สร้างแรงจูงใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่สนใจในอาชีพเกษตรยุคใหม่ ทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตนเอง และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และคาดหวังว่าโครงการนี้จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาภาคการเกษตรของไทย ให้เกิดความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน

            ด้านนายกฤษ  อุตตมะเวทิน  รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร  กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาเกษตรกร ของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนงานตามแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “เกษตรกรมีความเข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีรายได้เพิ่มขึ้น”  ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ร่วมกับมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จัดกิจกรรมประกวด “เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่มีศักยภาพในการเป็นต้นแบบ มีแนวคิดและการปฏิบัติด้านนวัตกรรมและการใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ มาพัฒนาต่อยอด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต รวมถึงการพึ่งพาตนเอง สู่การสร้างความมั่นคงและยั่งยืน แก่คุณภาพชีวิตของตนเอง สังคม และชุมชน โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาภาคการเกษตรของไทย ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน และก้าวไกลยิ่งขึ้นไป และสิ่งสำคัญยิ่งคือช่วยให้เกษตรกรมีความอยู่ดีมีสุขได้อย่างแท้จริง

            ขณะที่นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านเทเลคอม เทคคอมปานีของประเทศไทย ทรู คอร์ป มีความมุ่งมั่นสนับสนุนพันธกิจสำคัญของมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด  เพื่อยกระดับมาตรฐานเกษตรกรไทย ทรูเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งถึงศักยภาพของเกษตรไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโต และเสริมด้วยโครงข่ายสัญญาณที่แข็งแกร่งของทรู โซลูชัน ใหม่ๆ ด้าน สมาร์ท อะกริคัลเจอร์ และเพิ่มการเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ให้แก่เกษตรกร เมื่อเกษตรกรมีทักษะดิจิทัลและสามารถเข้าถึงโซลูชัน จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ตนเองและอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างสูงสุด

             สำหรับการคัดเลือกเกษตรกรดีเด่น  คณะกรรมการ ฯ ได้มีเกณฑ์การพิจารณาทั้งคุณสมบัติความเป็นเกษตรกรที่มีรูปแบบการทำเกษตรอินทรีย์สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ และมีทักษะด้านการสื่อสาร   มีคุณสมบัติด้านความเป็นเกษตรอินทรีย์ ที่ส่งเสริมและสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้แก่ผู้ผลิตและผู้บริโภค   เกื้อกูลต่อสิ่งแวดล้อม แบ่งปันทรัพยากรในชุมชน  คุณสมบัติด้านผู้ประกอบการอัจฉริยะ (Smart Agri-Entrepreneur)  และคุณสมบัติด้านความยั่งยืน (Sustainability) ที่ครอบคลุมทั้งด้านสังคม  เศรษฐกิจ และด้านสิ่งแวดล้อม  

          จากเกณฑ์การพิจารณาดังกล่าว ได้มีการคัดเลือกให้เกษตรกรที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดดีเด่นประจำปีนี้ คือ  “วิชัย กำเนิดมงคล” เกษตรกรจาก Coffee De Hmong กาแฟเดอม้ง จังหวัดน่าน ที่พัฒนากาแฟไทยคู่กับการรักษาผืนป่า โดยให้ตลาดนำการผลิต ใช้นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้แก่คนในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเป้าหมายหลักในการทำแบรนด์คือต้องการสื่อถึงวัฒนธรรมความเป็นชาติพันธุ์ม้ง 

            ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  คือ  “อุมารินทร์  เกตพูลทอง” เกษตรกรจากวิสาหกิจชุมชนปลาสลิดเกษตรพัฒนา จังหวัดสมุทรสาคร   ซึ่งพบปัญหาราคาปลาตกต่ำจากพ่อค้าคนกลาง จึงคิดต่อยอดผลิตภัณฑ์ แปรรูปเพิ่มมูลค่า ได้มาตรฐาน ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ตามแนวคิด ” สะอาด STANDARD สะดวก ”

            และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  คือ “ณัฎฐเอก อรุณโชติ”  จากสวนธรรมวัฒน์ จังหวัดชุมพร  ซึ่งนำมังคุดไปแปรรูป สร้างความยั่งยืน กับการหาความลงตัวตามปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยใช้โมเดล กินอยู่อย่างพอเพียง “โคกหนองนา” ลดต้นทุนและแรงงานการผลิต วางระบบน้ำ ใช้ปุ๋ยหมักชนิดน้ำผ่านระบบท่อ เพิ่มความชื้นในอากาศ ในช่วงที่มังคุดออกผลผลิต

          นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่น อีก 7 ท่านคือ

          “กมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์” จาก ไร่แสงสกุลรุ่ง  TEAMPHUM  จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งกลับมาสานต่อการทำเกษตรของครอบครัวด้วยการสร้างฝันที่อยากพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัวและชุมชนด้วยการรวมกลุ่มกับเกษตรกรจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนผลิตและแปรรู พร้อมจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จาก”ไข่ผำ” ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย         

            “ปิตุพร ภูโชคศิริ”   จาก  Hug Hed Farm ฮักเห็ด ฟาร์ม จังหวัดขอนแก่น  เกษตรกรรุ่นใหม่ที่มี ไปศึกษาและทำงานในต่างประเทศหลายปี  เมื่อมีโอกาสกลับมาบ้านในช่วง3-4 เดือน ได้ทดลองทำโรงเรือนเห็ดในพื้นที่หลังบ้านและสามารถสร้างรายได้พอสมควรจึงเป็นจุดเปลี่ยนให้เริ่มตัดสินใจทำอาชีพเกษตรกรที่บ้าน มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ บริหารจัดการฟาร์มแบบ Zero Waste และมีแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์สำหรับเกษตรกรทั่วประเทศ

            “สันติสุข เทียนทอง” จาก สันติสุขฟาร์ม  จังหวัดนครปฐม  วิศวกรเคมีสิ่งทอ ที่กลับมาดูแลพ่อที่ล้มป่วยกะทันหัส และเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพเกษตรกร  โดยเลือกปลูกเมล่อนและพืชหมุนเวียนในฟาร์ม ใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมมาปรับใช้ เช่น จัดการฟาร์มแบบ Zero Waste ใช้ขี้เถ้าเป็นสารให้ความหวาน ใช้กับดักแมลงโซลาร์เซลล์ และมีการเลี้ยงชันโรงช่วยผสมเกสรเมล่อน

            “นิรันดร์ สมพงษ์” จาก โอ๋-ดาว ออร์แกนิคฟาร์ม  จังหวัดนครราชสีมา  ซึ่งลาออกจากงานหันมาทำเกษตรแนวใหม่ และสามารถรวมกลุ่มเกษตรกรได้กว่า 220 คน ทำเป็นกลุ่มแปลงใหญ่ผักอินทรีย์ จัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตร  คิดค้นเทคโนโลยีลดต้นทุนทางการเกษตรใช้เอง อย่างเช่นระบบสมาร์ทฟาร์ม ไอโอที ต้นทุนต่ำ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศมาแล้วหลายรางวัล

            “บุษบง งีสันเทียะ” จากฟาร์มโคนมบุญชู  จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งหลังจากจบการศึกษาก็กลับมาช่วยกิจการเกษตรที่บ้าน และพบว่าการเกษตรที่ทำอยู่นั้นประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนมาทำการเลี้ยงโคนม ซึ่งมีสหกรณ์ในพื้นที่รับซื้อน้ำนมดิบ มีการใช้เทคโนโลยีช่วยในการบริหารจัดการฟาร์ม พร้อมกับแปรรูปนมเพื่อเพิ่มมูลค่า เน้นการพึ่งพาตนเอง และอนาคตอยากมีโฮมสเตย์สำหรับคนที่อยากเรียนรู้วิถึงชาวฟาร์ม    

            “นงนุช เสลาหอม”   จากสวนหลังบ้าน จังหวัดราชบุรี ที่เริ่มต้นทำเกษตรตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ ปลูกผักสวนครัวเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือนและส่งเสริมให้คนในชุมชนทำตาม ด้วยแนวคิด”ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก เลี้ยงทุกอย่างที่กินและกินทุกอย่างที่เลี้ยงหากเหลือส่งขาย” ปัจจุบันนอกจากจะเป็นศูนย์เรียนรู้แล้วยังเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่เชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรภายในจังหวัดราชบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง   

            และ “ภูมิปณต มะวาฬ”  จากไรซ์เบิร์ด ออร์แกนิคฟาร์ม  จังหวัดสุโขทัย  หนุ่มกราฟฟิกดีไวน์ที่ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว โดยกลับมาพลิกฟื้นผืนดินเกษตรเคมีของพ่อแม่ มาทำเกษตรอินทรีย์ สวนออร์แกนิคแบบผสมผสาน โดยยึดหลักศาสตร์พระราชา เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

           …เกษตรกรทั้ง 10 ท่าน จะเป็นต้นแบบในการสร้างแรงจูงใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่สนใจในอาชีพเกษตรยุคใหม่ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและชุมชน..  

           ดังคำกล่าวของ “นายบุญชัย เบญจรงคกุล” ผู้ริเริ่มโครงการฯ  ที่ว่า  “ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เกษตรกรสามารถทำการเกษตรครบวงจรด้วยประสิทธิภาพสูงสุด และหมดเวลาที่คนกลางจะมาบีบราคาเพื่อไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น กำไรจากการผลิตส่วนใหญ่ควรเป็นของเกษตรกร

           ประเทศไทยไม่ต้องเป็นแชมป์ส่งออกข้าวเบอร์หนึ่งของโลก เพราะนั่นไม่ใช่เกษตรกรส่งเอง กลับเป็นโรงสีต่าง ๆ ส่งออก แต่เกษตรกรควรนำสิ่งที่โครงการได้ร่วมกันศึกษาและพัฒนามาทั้ง 15 หัวข้อ มาเป็นแนวทางประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”