พาไปชม ! ตัวอย่างความสำเร็จในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการไทยด้วยการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคเอกชนไทย
กับ โครงการ “ อีโค่-สมาร์ตแดมเปอร์จากส่วนผสมยางธรรมชาติ เพื่อลดเสียงและการสั่นสะเทือนบนทางรถไฟ ”

ผลงานการวิจัยและพัฒนาจากสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) และบริษัท เอ.ยู.ที. จำกัด (AUT) โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยตั้งแต่ระดับ TRL4 ที่มีการพัฒนาในห้องปฏิบัติการไปจนถึง TRL 8 ที่สามารถสร้างต้นแบบในสภาพแวดล้อมจริง จาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
หลังจากพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม อีโค่-สมาร์ตแดมเปอร์ ได้สำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการพัฒนาแดมเปอร์(Damper)หรือแท่งสลายพลังงานสำหรับทางรถไฟ ที่ใช้วัสดุธรรมชาติอย่าง “ยางพารา” และวัสดุรีไซเคิลอย่าง “ เศษยางรถยนต์เก่า ” เป็นส่วนผสมหลักทดแทนวัสดุสังเคราะห์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศ 100 % เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราไทย
..แต่การพัฒนาไม่มีคำว่า “ หยุดนิ่ง ” ผู้ประกอบการได้นำองค์ความรู้ที่ได้จากโครงการ ฯ ใน TRL8 มาลงทุนขยายผล เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามมาตรฐานสากล จนสามารถยกระดับสู่การเป็นเจ้าของเทคโนโลยี หรือ TRL 9 ล่าสุด…ประสบความสำเร็จในเส้นทางออกสู่เชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย บริษัท เอ.ยู.ที. ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ ชนะประมูล สามารถคว้าสัญญาส่งออก Damper ให้กับการรถไฟเนเธอร์แลนด์จำนวน 400,000 ชิ้น มูลค่า 200 ล้านบาท ภายในปี 2568 และจะครบ 600,000 ชิ้น รวมมูลค่า 300 ล้านบาท ประมาณกลางปี 2569

ความสำเร็จนี้ทำให้ผู้ประกอบการไทยอย่างบริษัท เอ.ยู.ที. สามารถยกระดับจากการเป็นผู้ผลิตในระดับTier 3 ที่เคยรับจ้างผลิต (OEM) Damper ส่งออกไปยังต่างประเทศ ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตในระดับ Tier 1 อย่างเต็มตัวโดยสามารถผลิต Damper ด้วยเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตของตนเอง

ผศ.ดร.รัฐภูมิ ปริชาตปรีชา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. หัวหน้าโครงการ ฯ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการเข้าไปช่วยผู้ประกอบการอย่าง บริษัท เอ.ยู.ที. แก้ปัญหาในการผลิต Damper ที่ได้รับจ้างผลิตจากบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีในต่างประเทศ โดยเป็นปัญหาที่เกิดจากการใช้งานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุพอลิเมอร์ ทีมวิจัยจึงเข้าไปศึกษาปัญหา และเริ่มพัฒนาวัสดุทดแทน

และ “ยางพารา” คือความตั้งใจแรกของทีมวิจัยที่เลือกให้เป็นวัสดุทดแทนพอลิเมอร์ ที่เป็นส่วนผสมหลักของ Damper ด้วยยางพาราเป็นวัสดุจากธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย หากใช้ประโยชน์นอกจากจะเป็นแต้มต่อทางด้านวัตถุดิบในการผลิตแล้ว ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราไทย
ผศ.ดร.รัฐภูมิ บอกว่า นวัตกรรมนี้…ไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ เพราะผู้ประกอบการได้ซื้อ License สูตรการพัฒนา Damper เดิมที่เคยรับจ้างผลิตมาพัฒนาต่อยอด การนำยางพารามาเป็นส่วนผสมนั้น จำเป็นต้องคิดค้นสูตรที่ใช้ยางพาราในปริมาณที่เหมาะสม และต้องคำนึงถึงเรื่องความทนทานด้วย
ทีมวิจัยมีการพัฒนาวัสดุตั้งแต่ในห้องปฏิบัติการ ทำโมเดลทดสอบในห้องปฏิบัติการ จากการทดสอบเป็น 100 สูตร คัดเลือกจนได้ส่วนผสมที่ดีที่สุดและผ่านการประเมินต้นทุน ก่อนนำมาขอทุนสนับสนุนจาก บพข. โดยเริ่มต้นที่ TRL4 ไปถึง TRL 8 ซึ่งจะต้องมีการใช้งานจริง มีการทดสอบตามมาตรฐานสากล นำไปติดตั้งในสภาพแวดล้อมจริง และสามารถติดตามผลการใช้งานและนำกลับมาปรับปรุงได้

ทั้งนี้การก้าวไปสู่ TRL 8 จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจาก 2 หน่วยงานหลักในการทดสอบการใช้งานจริงอย่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือรถไฟฟ้าสายสีเขียว( BTS) และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือ รถไฟฟ้าสายสีแดง (SRT)
ซึ่งผลการทดสอบทั้งในห้องปฏิบัติการที่สจล. ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก บพข. และห้องปฏิบัติการมาตรฐานสากลในประเทศเยอรมนี รวมถึงการทดสอบติดตั้งใช้งานจริงบนทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว(BTS) และสายสีแดง (SRT) นานกว่า 18 เดือน สามารถยืนยันได้ว่า Damper ที่พัฒนาขึ้น สามารถลดเสียงและการสั่นสะเทือนได้จริง 3-7 เดซิเบล

โดยผลทดสอบล่าสุด..บนทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงสถานีอุดมสุข-ปุณณวิถี สามารถลดระดับเสียงได้ถึง 4.3 เดซิเบล และบนทางรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงสถานีตลิ่งชัน-บางบำหรุ ลดได้ 2.5 เดซิเบล ซึ่งเป็นการลดลงในระดับที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

“ ตั้งแต่ออกแบบ จนได้ต้นแบบ และนำไปทดสอบจริง แม้ว่านวัตกรรมที่ได้จะมีประสิทธิภาพดีมาก แต่หากมองเรื่องการตลาดแล้วถ้าไม่สามารถทำราคาที่แข่งขันได้ สุดท้ายก็จะทำไม่ได้ นวัตกรรมนี้จึงมีการต่อยอดพัฒนาสูตรที่เหมาะสมและหลากหลายกับวัตถุประสงค์การใช้งาน มีการปรับใช้ส่วนผสมทั้งจากยางพารา และวัสดุรีไซเคิลอย่างเศษยางรถยนต์เก่า เพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก”
…เพราะสิ่งสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม คือ ทำอย่างไรให้ขายได้ !
“Damper” เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม และมีการใช้งานกันมานานกว่า 10 ปี จุดขายจึงไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถในการลดเสียงรบกวนเพียงอย่างเดียว แต่หากจะจูงใจลูกค้า นอกจากเรื่อง “ต้นทุนราคา” ที่สามารถแข่งขันได้ในสินค้าประเภทเดียวกันแล้ว การใช้ Damper ยังช่วยลดต้นทุนด้านการบำรุงรักษารางรถไฟ เนื่องจากเมื่อรถไฟวิ่งไปเรื่อย ๆ จะเกิดความขรุขระของราง ทำให้เกิดเสียงดังจากการสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้น จึงต้องมีการเจียร์รางให้เรียบขึ้นเพื่อลดเสียง ทั้งนี้หากเจียร์รางไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงจุดที่จำเป็นต้องเปลี่ยนรางใหม่ การติด Damper จะลดการสั่นสะเทือน ทำให้เสียงดังลดลง และทำให้สามารถลดรอบการซ่อมบำรุงจากการเจียร์รางได้ เป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานรางรถไฟ ซึ่งถือว่า เป็นการลดต้นทุนที่สำคัญ…

นวัตกรรม Damper ที่พัฒนาขึ้นนี้ ยังติดตั้งง่าย อายุการใช้งานยาวนานถึง10 ปี ไม่ต้องบำรุงรักษา จึงคุ้มค่ากว่าการใช้กำแพงกันเสียง
ผู้พัฒนา บอกอีกว่า “ความยากของการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์คือต้องออกแบบปรับจูน Damperให้เข้ากับทางรถไฟที่มีความแตกต่างกันและต้องผ่านมาตรฐานในระดับสากล การต่อยอดจาก TRL8 ไปสู่เชิงพาณิชย์ใน TRL9 ยังต้องมีการวิจัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้ทีมวิจัยจะมีการพัฒนาความสามารถของผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เพื่อลดเสียงในบางย่านความถี่ เช่น ย่านความถี่สูง ๆ ที่ยังทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้ในโครงการวิจัยดังกล่าว ยังได้พัฒนาระบบสมองกลฝังตัว ที่สามารถติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดการสั่นสะเทือน เสียง อุณหภูมิ และวัดน้ำหนักรถขณะวิ่ง บนรางรถไฟได้ ข้อมูลเหล่านี้ สามารถนำไปวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์( IoT) เพื่อเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และวางแผนบำรุงรักษารางและตัวรถไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายธรณิน ณ เชียงตุง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.ยู.ที. จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นธุรกิจครอบครัวคนไทยที่ก่อตั้งมากว่า 40 ปี โดยเป็นผู้ผลิต “โพลิยูรีเทน” รายแรกในไทย และกลายเป็นธุรกิจหลัก มีพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งกว่า 70 % เป็นการส่งออก ปัจจุบันมีการขยายไปสู่ “พลาสติกวิศวกรรม” ด้วยแนวคิดที่ต้องการสร้างความแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่ในท้องตลาด
“ บริษัท เอ.ยู.ที. เติบโต มาจากงานที่ไม่ใช่ Mass Products หรือสินค้าที่ผลิตเป็นจำนวนมาก แต่ สินค้าที่มีความต้องการสูงหรือสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจง คือ ความถนัดของเรา ซึ่งงาน Damper สำหรับรถไฟ ก็คือ 1 ใน10 Business Unit ของบริษัท เอ.ยู.ที.ในปัจจุบัน ”
นายธรณิน กล่าวว่า การร่วมลงทุนในโครงการนี้ คือโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ การสนับสนุนจาก บพข.และความร่วมมือกับ สจล. ช่วยลดความเสี่ยง และทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ จนสามารถเปลี่ยนจากการเป็นรับจ้างผลิตระดับ Tier 3 สู่ผู้ผลิตในระดับ Tier 1 จนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมได้ด้วยตนเอง สามารถขยายตลาดสู่ระดับสากลได้สำเร็จ ความสำเร็จในการส่งออกไปเนเธอร์แลนด์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เรายังมีแผนขยายตลาดไปยังยุโรป ออสเตรเลีย และในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 250-300 ล้านบาท

รศ.ดร.วัชรพล ชยประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านแผนงานระบบโลจิสติกส์ ระบบราง ยานยนต์แห่งอนาคตและดิจิทัล บพข. กล่าวว่า บพข.มีบทบาทในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาครัฐ สถาบันวิจัย และภาคเอกชน โดย สนับสนุนทุนวิจัยในโครงการนี้กว่า 11.5 ล้านบาทร่วมกับภาคเอกชนที่สนับสนุนทุนวิจัยทั้งในรูปแบบ In-Cash และIn-Kind เพื่อพัฒนาโครงการตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการสู่การสร้างต้นแบบที่ทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง ช่วยลดความเสี่ยงด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนาให้กับภาคเอกชน
“โครงการ “อีโค่-สมาร์ตแดมเปอร์” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของนโยบาย บพข.และกระทรวงอว.ที่มุ่งสนับสนุนงานวิจัยเทคโนโลยีเชิงลึก และ BCG ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่สร้างรายได้เข้าประเทศ และเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราไทย แต่ยังช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางไทยในเวทีโลก”
