TCELS จัดงาน “TCELS Business Forum 2025” ภายใต้หัวข้อ “The Future of AI-Enabled Health” ย้ำความสำคัญของการประยุกต์ใช้ AI ทางการแพทย์อย่างมีจริยธรรม
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ที่ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS จัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ “TCELS Business Forum 2025” ภายใต้หัวข้อ “The Future of AI-Enabled Health” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ TCELS ในการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในระบบสุขภาพของประเทศไทย

ดร.พัชราภรณ์ วงษา ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารโภชนเภสัชภัณฑ์และเวชสำอางและ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า TCELS เป็น องค์การมหาชนที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยภารกิจพิเศษในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสุขภาพ ให้นำไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงนวัตกรรมได้ รวมถึงผลักดันให้อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ เติบโตเป็น 1 ใน10 อุตสาหกรรมหลักของประเทศ
ทั้งนี้การขับเคลื่อนของ TCELS จะมุ่งเน้นในจุดที่ยากที่สุดของการพัฒนานวัตกรรม หรือที่เรียกว่า หุบเหวมรณะ ( Valley of Death) ซึ่งมี 2 ช่วงคือ ช่วงของการทำผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานสามารถขึ้นทะเบียน อย.ได้ และช่วงที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยในช่วงแรก TCELS จะใช้กลไกในการให้ทุน ในการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ส่วนช่วงที่ 2 จะใช้วิธี Grooming หรือ เตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน อย่างเช่น การจัดกิจกรรม TCELS Business Forum ที่เป็นเวทีสำหรับการพบปะ เจรจาระหว่างผู้ประกอบการ นักวิจัย และการเข้าสู่แหล่งทุนต่าง ๆ
“ TCELS ดำเนินงานภายใต้ภารกิจ (MISSION) ที่เรียกว่า ABC โดย A คือ Accelerating Innovation หรือการเร่งรัดให้นวัตกรรมยกระดับและเข้าสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น ส่วน B คือ Building Eco-Systems การยกระดับระบบนิเวศทั้งพัฒนานวัตกรรมและพัฒนาธุรกิจให้เอื้ออำนวย ให้นวัตกรรมเข้าตลาด และธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และ C คือ Connecting Partners ที่ทำงานเชื่อมโยงกับพันธมิตรในทุกภาคส่วน โดย TCELS จะ Focus นวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ ในด้านหลัก ๆ เช่น เครื่องมือแพทย์, Natural Products , DeepTech เช่น ยาชีววัตถุและการแพทย์ขั้นสูง,การแพทย์จีโนมิกส์ และการแพทย์แม่นยำ ซึ่งมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นน้องใหม่ ที่ทำมาแล้วระยะหนึ่ง แต่พยายามขับเคลื่อนมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา”
ดร.พัชราภรณ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ในประเทศไทยโดยเฉพาะด้านการแพทย์และสุขภาพ มีการพัฒนาที่ดีขึ้นสามารถพัฒนานวัตกรรมขึ้นใช้เองได้มากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ ที่ TCELS ได้มีการผลักดันเข้าสู่ระบบบัญชีเครื่องมือแพทย์ของ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) อาทิเช่น รากฟันเทียม ถุงทวารเทียม เท้าเทียมไดนามิก น้ำตาเทียม และ วัคซีนไอกรน ทั้งนี้ TCELS ได้รับงบประมาณในการสนับสนุนโครงการนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นการให้ทุน ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนแบบให้เปล่าสำหรับโครงการระดับ TRL 7 ขึ้นไป คือผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยมาแล้ว เตรียมขึ้นทะเบียน และอีกประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับงานด้านอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับการสนับสนุนนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ ดร.พัชราภรณ์ บอกว่า TCELS จะมุ่งเน้นที่ความเชี่ยวชาญของ AI ในการช่วยวินิจฉัย ซึ่งทำให้เกิดความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สามารถช่วยในเชิงการป้องกัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และผลักดันเรื่องจริยธรรมของการใช้ AI ทางการแพทย์ ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการเผยแพร่ไกด์ไลน์ออกมาแล้ว
อย่างไรก็ดีในงานดังกล่าว มีการเสวนา “แนวโน้มด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และความเสี่ยงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของการแพทย์และสุขภาพไทย” โดยดร.พงษธร โชติเกษมศรี คณะกรรมการสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย และนายวีระชาติ ศรีบุญมา ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย ด้านการเงิน การธนาคาร ระบบชำระเงิน ตลาดทุน และสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีว่าที่ร้อยเอก เภสัชกร ดร.วฤษฎิ์ อินทร์มา ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน TCELS ช่วยราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ

ดร.พงษธร โชติเกษมศรี คณะกรรมการสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย เปิดเผยว่า AI กับด้านสุขภาพจะเข้ามาอยู่ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการโรงพยาบาล การจัดการคิวหรือในเรื่องการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพหลังจากกลับจากโรงพยาบาลด้วย เพราะฉะนั้นคนไทยเอง อาจจะต้องฝึกการใช้AI และยอมรับที่จะใช้ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของขอบเขตการทำงาน ในเรื่องของความปลอดภัย และเรื่องกฎหมายของประเทศไทยด้วย ซึ่งปัจจุบัน มีการพัฒนา AI ที่ดีขึ้น มีมาตรฐานรองรับมากขึ้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ในอนาคตจะมี AI ตัวใหม่ ๆ ที่เหมาะกับการใช้งานทางด้านการแพทย์มากขึ้น

“สำหรับการลงทุนนวัตกรรม AI ทางการแพทย์และสุขภาพในประเทศไทยมีมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศจะยังน้อยอยู่ ซึ่งในเชิงธุรกิจการพัฒนา AI คือการมี Data Set ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความแม่นยำ ดังนั้นหากว่าต้องมีการลงทุนในเรื่องของการพัฒนา AI จริง ๆ จะต้องมีการยอมสละข้อมูลบางส่วนมาเทรน AI เพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น และ AI จะเป็นเหมือนเครื่องมือที่ทำให้เราก้าวไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ โดยเรื่องของข้อมูลถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของการพัฒนา AI ซึ่งเราจะต้องมองหาองค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมาก เพื่อที่จะกำหนดแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ในการเทรน AI และพิจารณาการเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการ AI ทางการแพทย์ในระดับชาติ เพื่อคอยกำหนดขอบเขตต่าง ๆ ของการใช้งาน AI”

ขณะที่นายวีระชาติ ศรีบุญมา ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย ฯ กล่าวถึง ความปลอดภัยของการใช้ AI ว่า มีความสำคัญมาก เพราะ AI เข้าไปในทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน สังคม เศรษฐกิจ ทุกอย่าง AI มีความสำคัญทั้งหมดในการประมวลผล ข้อจำกัดของการป้องกันความเสี่ยงด้าน AI นั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยขณะนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือกระทรวงดีอี กำลังพัฒนาเรื่องการรักษาความปลอดภัยความเสี่ยงด้าน AI ซึ่งปัจจุบันคดีด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีมากขึ้น และ สร้างความเสียหายสูงถึง 450,000 ล้านบาท
สำหรับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ปัจจุบันกฎหมาย PDPA ก็เป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนั้นเรื่องข้อมูลของกฎหมายแทบจะทุกประเภทจะพูดถึงเรื่องการรักษาความลับของตัวข้อมูล และถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ที่จะสามารถเยียวยาความเสียหายได้ ปัจจุบัน มีการร่างกฎหมายที่ระบุชัดเจนถึงการเยียวยาความเสียหายของระบบที่ใช้ AI โดยที่ไม่ต้องให้คดีขึ้นสู่ศาล และสามารถจบในชั้นสอบสวนได้

นอกจากนี้ในเวที “TCELS Business Forum 2025” ยังมีการนำเสนอนวัตกรรมที่น่าสนใจของผู้ประกอบการในเครือข่าย TCELS อาทิ บริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด Deep Tech Startup สัญชาติไทย ที่มุ่งเน้นการพัฒนาด้าน Medical Imaging AI Solutions เพื่อลดภาระงานแพทย์และยกระดับระบบสาธารณสุขในไทย โดยมีผลิตภัณฑ์หลักที่ออกสู่ท้องตลาด และเป็นบริษัท AI เจ้าแรกในไทยที่ได้ได้รับ อย. ได้แก่ Inspectra CXR เอไออ่านภาพรังสีทรวงอก และ Inspectra MMG สำหรับอ่านภาพแมมโมแกรม

และบริษัท เฟมเม เวิร์ค จำกัด HealthTech สัญชาติไทย ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยป้องกันและดูแลผู้ป่วยในระบบสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ โดยพัฒนาระบบเตียงอัจฉริยะที่ใช้เซนเซอร์และ AI เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับโดยอัตโนมัติ ซึ่งใช้งานเชิงพาณิชย์แล้วในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมถึงโรงเรียนแพทย์ .

