“การขนส่งสินค้าทางน้ำ” เป็นระบบโลจิสติกส์ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และการค้าของประเทศไทย เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าการขนส่งด้านอื่น ๆ สามารถขนส่งสินค้าจำนวนมากในระยะทางไกล มีความปลอดภัยและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ด้วยผู้ประกอบการในธุรกิจดังกล่าวยังขาดข้อมูลที่จำเป็นในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประสบปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการขนถ่ายสินค้าที่เกาะสีชัง ซึ่งเป็นบริเวณจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเทกอง ซึ่งมีการใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรเฉพาะจำนวนมาก อีกทั้งยังใช้เชื้อเพลิงและมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการขนถ่ายสินค้าเทกองที่ทุ่นขนถ่ายในอัตราที่สูง

เพื่อตอบโจทย์ปัญหาในระบบโลจิสติกส์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จึงสนับสนุนทุนวิจัยในแผนงานวิจัยพัฒนาโครงข่ายระบบรางที่ทันสมัย เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าของประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2566 ให้กับโครงการ “การบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์การขนถ่ายสินค้าเทกองที่ทุ่นขนถ่ายสินค้ากลางทะเลโดยใช้ระบบสารสนเทศและดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ซึ่งดำเนินการโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งประกอบด้วย ศ.ดร.กาญจนา เศรษฐนันท์ ผศ.ดร. พัชรา ศรีพระบุ ผศ.ดร.เชฎฐา ชำนาญหล่อ และ ศ.ดร. ระพีพันธ์ ปิตาคะโส จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยมีบริษัท เอส.พี.อินเตอร์ มารีน จำกัด เป็นเอกชนร่วมให้ทุน

ศ.ดร.กาญจนา เศรษฐนันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า ปัจจุบันการดำเนินงานการขนถ่ายสินค้าเทกอง ยังไม่มีการบันทึกและวิเคราะห์พลังงานที่ชัดเจน อีกทั้งมีความล่าช้า และใช้เวลาในการบันทึกข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลปริมาณการผลิตไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครนแต่ละตัวที่ใช้ในการขนถ่ายสินค้าแต่ละชนิด เนื่องจากระบบการขนถ่ายสินค้าเป็นระบบข้อมูลขนาดใหญ่ มีการจัดการ (Transaction) ของข้อมูลจำนวนมากที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการขนถ่ายสินค้าอยู่กลางทะเลที่อาจจะไม่สะดวกต่อการเก็บและรวบรวมข้อมูล ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถนำข้อมูลที่ถูกต้องมาวางแผนการขนถ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ระบบในการขนส่งสินค้าเทกองฯ ผู้ประกอบการยังใช้ระบบแมนนวล (Manual) ทำให้วางแผนล่วงหน้าลำบาก ประกอบกับยังไม่มีระบบฐานข้อมูลเพื่อจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่จากการขนถ่ายสินค้า ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการดำเนินงานเป็นปัจจุบันได้
ศ.ดร.กาญจนา กล่าวว่า โครงการวิจัยนี้ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับตรวจวัดอัตราการใช้พลังงานในขนถ่ายสินค้าเทกอง และจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการทราบปริมาณการผลิตไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครนแต่ละตัวในการขนถ่ายสินค้าแต่ละชนิด และนำข้อมูลมาวางแผนการขนถ่ายสินค้าได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วต่อการดำเนินงานทางธุรกิจ รวมทั้งมีการใช้ระบบซอฟต์แวร์ในการจัดลำดับการขนถ่ายสินค้าของเรือในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเทกอง ทำให้วางแผนล่วงหน้าได้ และสามารถบริหารจัดการการขนถ่ายสินค้าเทกองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งด้านปริมาณสินค้า อัตราการใช้พลังงาน และระยะเวลาที่ใช้ในการขนถ่ายสินค้า รวมถึงมีระบบฐานข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลอัตราการใช้พลังงานขนาดใหญ่ (Big data) และระบบ Monitoring and Tracking system ที่สามารถปรับปรุงข้อมูลตัวชี้วัดด้านโลจิสติกส์ และสอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่ผู้ประกอบการสามารถดูผ่าน Dashboard บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้
การวิจัยนี้เริ่มจากการศึกษาวิธีการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบัน จากนั้นดำเนินการสำรวจทางกายภาพเพื่อติดตั้งระบบวัดการใช้พลังงานและระบบส่งข้อมูล พร้อมกับการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อวัดอัตราการใช้พลังงาน ระบบฐานข้อมูล Big Data รูปแบบระบบการแสดงผลข้อมูล และพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการจัดสรรทุ่นและเครน แล้วทำการทดสอบการใช้งานพร้อมการวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อปรับปรุง และสรุปผลการดำเนินงาน
“ โครงการฯ แล้วเสร็จเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา โดยผลความสำเร็จจากการดำเนินโครงการที่ใช้ระบบ Software ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งใช้ข้อมูลการขนถ่ายจริงของผู้ประกอบการมาเป็นข้อมูลในการจัดสรรทุ่นขนถ่าย พบว่า สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงในการวางแผนการขนถ่ายได้กว่า 88,708 ลิตร/ปี หรือคิดเป็นต้นทุนที่ลดลง 3.11 ล้านบาท/ปี ซึ่งคิดเป็น 5.83 % ของต้นทุนด้านพลังงานในการขนถ่าย นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์นี้ยังทำให้ระยะเวลาการขนถ่ายลดลง 826.8 ชั่วโมง/ปี หรือ 12.52 % โดยระยะเวลาที่ลดลงนี้ ทางสถานประกอบการสามารถทำการขนถ่ายสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้ถึง 6.578 ล้านตัน/ปี (ประเมินจากปริมาณของสินค้ากากถั่วที่เป็นสินค้าหลัก)”
ทั้งนี้ หากมีการขยายผลของปริมาณการขนถ่ายสินค้าเทกองทางลำน้ำของประเทศที่มีจำนวนมากถึง 67.748 ล้านตัน (ในปี 2565) จะสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 938,200 ลิตร/ปี หรือคิดเป็นมูลค่าด้านพลังงานที่ลดลง 33 ล้านบาท/ปี อีกทั้งยังสามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นอกจากนี้จากข้อมูลในระบบฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลอัตราการใช้พลังงานขนาดใหญ่ (Big data) และระบบ Monitoring and Tracking system ยังสามารถใช้วิเคราะห์ศักยภาพในการลดการใช้พลังงานของบริษัทร่วมทุน โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพและบริหารจัดการเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้ 12,686.88 ลิตร/ปี คิดเป็นเงิน 444,040.74 บาท/ปี และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานของเครนที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่ำ โดยดำเนินการตรวจสอบประสิทธิภาพของตัวเครน และทักษะการขับขี่ของบุคลากรที่ขับเครน จะทำให้สามารถลดปริมาณการใช้พลังงาน 49,079.98 ลิตร คิดเป็นค่าใช้จ่าย 1,717,799.30 บาท/ปี

สำหรับการขยายผลโครงการวิจัย ศ.ดร.กาญจนา กล่าวว่า เอกชนผู้ร่วมทุนในโครงการได้มีการต่อยอดงานวิจัยที่แล้วเสร็จ โดยพัฒนาเพิ่มเติมเป็น 3 ระบบ คือ 1.ระบบการตรวจวัดอัตราการใช้พลังงานในขนถ่ายสินค้าเทกอง และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ที่จะทำให้ผู้ประกอบการทราบปริมาณการผลิตไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครนแต่ละตัว 2. ระบบ Software การจัดสรรเรือและการจัดลำดับการขนถ่ายสินค้าของเรือในการนำเข้า- ส่งออกสินค้าเทกอง เพื่อสนับสนุนการขนถ่ายสินค้าเทกองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และ 3.ระบบฐานข้อมูล (Database) สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลอัตราการใช้พลังงานขนาดใหญ่ (Big data) และระบบ Monitoring and Tracking system ที่ทำผู้ประกอบการสามารถดูข้อมูลผ่านมือถือ และสามารถตัดสินใจในการดำเนินเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ปัจจุบันเอกชนผู้ร่วมทุนฯ อยู่ระหว่างการขยายผลระบบให้ครอบคลุมทุกทุ่นขนถ่ายสินค้าที่มีทั้งหมด 8 ทุ่น
อย่างไรก็ดีคณะผู้วิจัยมีแผนขยายการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยนี้ไปสู่ผู้ใช้งานในวงกว้างทั้งผู้ประกอบการในสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินสินค้าทางน้ำ โดยสามารถนำซอฟต์แวร์ที่เป็นผลผลิตจากโครงการไปประยุกต์ใช้ในสถานประกอบการ เพื่อให้ต้นทุนการขนถ่ายที่มีต้นทุนพลังงานเป็นหลักมีค่าต่ำที่สุด สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลและผลการดำเนินงานจากโครงการวิจัยดังกล่าว เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการลดการใช้พลังงาน และลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการได้อีกด้วย.
