บพข.จัดงาน “ IDE Day 2025” แสดงพลังความร่วมมือเครือข่ายภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษา ตอบโจทย์ประเทศ เปลี่ยน “ทุนวิจัย” เป็น “กลไกระดับประเทศ” สร้างความเชื่อมโยงเพื่อธุรกิจเติบโต เผยผลดำเนินงานแผน IDEs ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มี 230 บริษัทเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจฐานนวัตกรรม และ 5 บริษัท ก้าวสู่รายได้เฉียดพันล้านบาท ธุรกิจเติบโตกว่า 20 %

เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จัดงาน IDE Day 2025: Innovation Exchange ขึ้น ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อแสดงพลังความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิจัย และผู้ประกอบการ ในการเปลี่ยน “ทุนวิจัย” ให้กลายเป็น“กลไกระดับประเทศ” ที่สร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยมีผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดงาน

ผศ.ดร.พูลศักดิ์ กล่าวว่า โจทย์ของประเทศไม่ใช่เพียงการสร้างนวัตกรรมใหม่ แต่ต้องสร้าง “กลไกเชื่อมโยง ระหว่างทุน กลไก และตลาด เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมียุทธศาสตร์” สกสว. ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน การขับเคลื่อนระบบการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศในทุกด้าน ได้ให้ความสำคัญกับแผนงาน Innovation Driven Enterprises หรือ IDEs ที่ริเริ่มโดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และดำเนินการโดย บพข.
โดยแผนงาน IDEs เป็น 1 ใน 8 กลยุทธ์ของยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของ สกสว.ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม( ววน. ) ซึ่งการยกระดับผู้ประกอบการ นอกจากการพัฒนากำลังคนและองค์ความรู้ที่เป็นสิ่งสำคัญแล้ว สิ่งที่ยากไปกว่านั้นก็คือการทำให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ที่จะใช้วิธีการเดิมๆ ไม่ได้ แผนงาน IDEs จึงเป็น Sandbox ระดับประเทศ ในการทดลองกลไกใหม่ ๆ ของรัฐ ทั้งวิธีคิดใหม่ วิธีสนับสนุนใหม่ และวิธีวัดผลที่ไม่เหมือนเดิม เป็นการทดลอง “กลไกเชิงระบบ” ที่ช่วยให้บริษัทไทยเปลี่ยนเกมธุรกิจได้จริง ไม่ใช่เพียงเพิ่มยอดขาย แต่ยังสามารถปรับโครงสร้างองค์กร สร้างขีดความสามารถใหม่ และต่อยอดสู่การแข่งขันในระดับสากลได้

ด้านนายศวัส สังขนันท์ รักษาการแทนผู้อำนวยการ บพข. เปิดเผยว่า แผนงาน IDEs เกิดขึ้นจาก สอวช.ที่มองเห็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มขนาดกลางและใหญ่ ที่ยังเติบโตด้วยวิธีเดิมๆ แบบธุรกิจครอบครัว ไม่พร้อมแข่งขันในเศรษฐกิจใหม่ และหลายครั้งไม่อยากโต เพราะกลัวเสียความคล่องตัว ประกอบกับประเทศไทยยังขาดพี่เลี้ยงธุรกิจ หรือ Intermediary (IM) ที่เป็นมืออาชีพเต็มรูปแบบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ บพข. ออกแบบแผนงาน Innovation Driven Enterprises (IDEs) เพื่อสร้างผู้ประกอบการในธุรกิจฐานนวัตกรรม ที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
“ ผลการดำเนินงานแผนงาน IDEs ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มี 230 บริษัทที่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจฐานนวัตกรรม โดย 5 บริษัท มีรายได้เฉียดพันล้านบาท โดยเติบโตกว่า 20 % มี 38 Intermediary ทั่วประเทศเข้ามาทำหน้าที่พี่เลี้ยงธุรกิจอย่างเต็มตัว และมี IBDS กว่า 100 ทีม ลงสนามเป็นที่ปรึกษาเชิงลึก สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เพราะมีการเชื่อมโยงทุกฝ่ายให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน และมีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับการดำเนินงานต่อไปของแผนงาน IDEs นายศวัส กล่าวว่า บพข. เชื่อว่าการลงทุนของรัฐในงานวิจัยและนวัตกรรม ต้องสร้างผลลัพธ์ที่แข่งขันได้ในระดับโลก ดังนั้นเป้าหมายต่อไปคือการสร้าง IM และ IBDS มืออาชีพให้ครบทุกภูมิภาค เชื่อมต่อกันเป็น ecosystem ที่มีมาตรฐาน และขยายจำนวน IDE ที่โตได้ด้วยนวัตกรรมให้มากขึ้น โดย บพข.จะเดินหน้าทำงานแบบเปิดรับข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย เพราะสิ่งที่บพข.เรียนรู้ คือ “ ความสำเร็จของ ecosystem ไม่ได้เกิดจาก บพข. คนเดียว แต่เกิดจากพลังร่วมของทุกภาคส่วน”

อย่างไรก็ดีในงาน IDE Day 2025 ที่ บพข.จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “จากทุนวิจัยสู่ธุรกิจนวัตกรรม…เปลี่ยนความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม” เพื่อให้เป็นพื้นที่ “Innovation Exchange” สำหรับเครือข่ายในระบบ Ecosystem ได้พบกัน และมองเห็นโอกาสที่เป็นไปได้จริง
ในงานมีการเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การสร้างประเทศไทยให้แข่งขันได้ ด้วยธุรกิจฐานนวัตกรรม, Scaling IDEs:กลยุทธ์เปลี่ยนเกมสู่การเติบโตระดับพันล้าน, Success Behind the Scenes: บทบาท Intermediary ในสนามจริง และ Unlock IDE Ecosystem: เสียงจริงจากภาคีร่วมเปลี่ยนประเทศ

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จจากบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ บริษัทกลัฟเท็กซ์ จำกัด ที่จับคู่มากับ Intermediary อย่าง สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ที่เข้ามาช่วยในการปรับโครงสร้างธุรกิจและลงทุนในนวัตกรรมการผลิตและการตลาด จนสามารถขยายตลาดส่งออกได้อย่างก้าวกระโดด
คุณเสริมศักดิ์ วงศ์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทกลัฟเท็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินงานมากว่า 25 ปี ในการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือ และอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE) เพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานในสถานประกอบการต่างๆ และเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีการจำหน่ายให้กับลูกค้าและผู้ใช้งานทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้หลังจากเข้าโปรแกรม แผนงาน IDEs บพข. บริษัท ได้รับคำปรึกษาในด้านการโครงสร้างธุรกิจและเพิ่มการลงทุนด้านเครื่องมือ และนวัตกรรมการผลิตและการตลาด ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญให้กับบริษัท เพิ่มความความเชี่ยวชาญในธุรกิจและความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีผลให้ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้แทนจำหน่าย ได้สิทธิ์เพื่อผลิตสินค้าเพื่อจำหน่าย ผลิตสินค้าในรูปแบบ ODM และได้รับความร่วมมือด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กับเจ้าของสินค้าและตราสินค้าชั้นนำของโลก สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 730 ล้านบาท เติบโตกว่า 20 % ในปี 2564

“เนื่องจากธุรกิจเราเป็นธุรกิจทดแทนการนำเข้าให้กับผู้ประกอบการในไทย ยอดขายกว่า 80 % มาจากลูกค้าในประเทศที่ค่อนข้างเสถียรและเป็นผู้นำในตลาด ต่อมามีการส่งออกโดยเริ่มมีลูกค้าทางยุโรปกับอเมริกา จึงมีปัจจัยหลาย ๆ ด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจดสิทธิบัตรและการทำมาตรฐานต่าง ๆ การเข้าโครงการ IDEs จึงช่วยในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ยังช่วยในการเปิดตลาดออนไลน์ที่บริษัทไม่เคยทำมาก่อน สร้างยอดขาย 30-40 ล้านบาท หรือประมาณ 5 % ของรายได้รวมในปัจจุบัน”
คุณเสริมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การขยับพื้นฐานจากการขายแบบออนไซต์ไปสู่ออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องของคนเจนใหม่ เครื่องมือใหม่ ระบบใหม่ จึงต้องอาศัยการรี-สกิลเยอะมาก รวมถึงต้องทำระบบหลังบ้าน และระบบโลจิสติกส์ใหม่อีกด้วย โครงการ IDEs ทำให้บริษัทได้ต่อยอดธุรกิจ ขณะเดียวกันในเรื่องการพัฒนานวัตกรรม สถาบันอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงได้เข้ามาช่วยอย่างมากทั้งการอบรม ให้ความรู้ ปูพื้นฐานในการทำธุรกิจนวัตกรรม ที่นอกจากจะรู้เรื่องการวิจัยและพัฒนาแล้วยังต้องเข้าใจการทำมาตรฐานต่าง ๆ ซึ่งจะมีทีม IBDS จากมหาวิทยาลัยให้คำปรึกษาในเชิงลึกอีกด้วย

ด้าน ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า หน้าที่ของ Intermediary คือ การมองหาผู้ประกอบการที่เป็น IDE หรือธุรกิจฐานนวัตกรรม และเนื่องจากเป็นโครงการใหม่ การคัดเลือกผู้ที่เข้ามาจะต้องเป็นคนที่กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ ซึ่งสถาบันฯ มองว่าบริษัทกลัฟเท็กซ์ ตอบโจทย์ และมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ เกี่ยวกับการทำนวัตกรรม รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ จากวันที่เริ่มโครงการและดำเนินงานมาถึงวันนี้ จึงกลายเป็นเคสตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ
“ การเป็น Intermediary ที่เข้าโครงการ IDEs ตั้งแต่ปีแรก และยังเป็นปีแรกของการเป็น Intermediary ของสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทำให้การทำงานค่อนข้างท้าทาย เพราะต้องหาผู้ประกอบการ IDE ที่มีรายได้ระดับร้อยล้านขึ้นไป เพื่อที่จะต้องเติบโตเป็นพันล้านภายใน 3 ปี ซึ่งไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก ทั้งนี้มองว่าปัจจัยความสำเร็จอย่างหนึ่งของบริษัท IDE คือ จำเป็นต้องมีทีมวิจัยและพัฒนารวมถึงห้องปฏิบัติภายในบริษัทด้วย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะยาว ส่วนการที่ Intermediary จะสามารถให้คำปรึกษาและเปลี่ยนโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของผู้ประกอบการได้นั้น สิ่งที่สำคัญ คือ ความเชื่อใจ อย่างไรก็ดีการพัฒนา Intermediary ในประเทศไทย ควรมีการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะเป็นพี่เลี้ยงมืออาชีพ และอนาคตสามารถให้บริการได้โดยไม่ต้องอาศัยการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ”
ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่างของความสำเร็จคือ บริษัท แกรนด์ อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด ที่จับคู่กับหอการค้าจังหวัดขอนแก่น Intermediary ที่เข้ามาพี่เลี้ยงในการช่วยปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการผลิต รองรับการเติบโตที่รวดเร็วเกินโครงสร้างเดิม พร้อมรีแบรนด์เพื่อเข้าสู่ตลาดสากล

คุณเฉลิมพล มหาปิติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจเริ่มต้นจากร้านกาแฟเล็กๆ ใน จังหวัดขอนแก่น ที่ชื่อว่าร้านขนมบ้านคุณภัทรา เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ต่อมาเริ่มมีการพัฒนาสินค้าหน้าร้านที่หลากหลายเพื่อจำหน่ายให้กับร้านกาแฟอื่น ๆ รวมถึงร้านของฝากในท้องถิ่น จนกระทั่งในปี 2559 ได้เริ่มแยกออกมาจัดตั้งเป็นบริษัท เพื่อหน้าที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าให้กับร้านค้าอื่นๆ รวมถึงรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ โดยมีโรงงานผลิตแห่งเดียวที่จังหวัดขอนแก่น ก่อนกระจายสินค้าสู่ทั่วประเทศ และมีกำลังการผลิตประมาณ120,000 ชิ้นต่อวัน ปัจจุบันบริษัทส่งสินค้าให้กับร้านคาเฟ่ อเมซอน ประมาณ 4,000 สาขาทั่วประเทศ โดยมีระบบขนส่งถึงหน้าร้านลูกค้า ที่เป็นระบบของตัวเอง
คุณเฉลิมพล กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัท ในปี 2567 จบที่ประมาณ 640 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 800 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้น่าจะได้ตามเป้า คือ เติบโตประมาณ 20 % ซึ่งเป็นการเติบโตปกติเหมือนกับในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เมื่อธุรกิจมีการเติบโตระดับหนึ่งแล้ว จะเริ่มเห็นจุดสูงสุดของรายได้ การทำงานแบบเดิม ๆ จะไม่ตอบโจทย์ จึงเป็นความท้าทายที่จะทำอย่างไร ให้สามารถรักษาการเติบโตหรือทำให้การเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ จึงเข้าร่วมกับหอการค้าจังหวัดขอนแก่น ที่เป็น Intermediary ในโครงการ IDEs ซึ่งจะเข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจของบริษัทในทุกๆ ด้าน และดึงทีมผู้เชี่ยวชาญ หรือ IBDS เข้ามาให้คำปรึกษา พัฒนานวัตกรรม และการบริหารจัดการ โดยจะเน้นนวัตกรรมใน 4 ด้านหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ ตลาด และองค์กร ซึ่งในแต่ละด้าน จะมีการประเมินความสามารถและจุดที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อให้บริษัทสามารถปรับปรุงและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

“จากตัวเลขปกติ ที่เติบโต 20 % อยู่แล้ว ข้อแตกต่างเมื่อเข้ามาอยู่ในโครงการ IDEs คือ ความมั่นคง และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่มองแค่ยอดขาย หรือ ความหลากหลายของสินค้า แต่เป็นการใช้นวัตกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสินค้า สร้างจุดขายที่แตกต่างไปจากสินค้าแบรนด์อื่นๆ เช่น การใช้น้ำตาลที่เพิ่มพรีไบโอติกในสินค้าช่วยในการย่อยได้ การพัฒนาหรือขยายสเกลธุรกิจ ไม่สามารถใช้วิธีเดิม ๆ ได้ จำเป็นต้องมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามา อย่างเช่น การใช้ DATA ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ลูกค้า ทั้งนี้มองว่าระยะเวลาเป็นเรื่องสำคัญของการทำโครงการ IDEs เพราะในโครงการนี้ไม่ใช่ทำแค่เรื่องเดียว หรือทำทีละเรื่องแต่ต้องมองรอบด้าน และพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน 1 ปี ในการดำเนินโครงการนี้ จึงอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะช่วงของการวิเคราะห์ตัวเอง ซึ่งเปรียบเสมือนการแกะกระดุมเม็ดแรก ที่ต้องใช้เวลาในการหาจุดเด่นและโอกาสที่มีอยู่ ”

ส่วน คุณธวัชชัย โคตรวงษ์ หัวหน้าคณะทำงาน Intermediary หอการค้าจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ในโครงการ IDEs คณะทำงานได้มีการจัดหลักสูตรตามที่ผู้ประกอบการต้องการ อยากให้โครงการนี้มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และควรจะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงโครงการ กับผู้ประกอบการที่มีอยู่ทั่วประเทศมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการในต่างจังหวัดยังมีอีกมากที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม อย่างเช่น หอการค้าจังหวัดขอนแก่น ที่มีสมาชิกกว่า 200 รายที่มีผลประกอบการระดับ 100 – 300 ล้านบาทต่อปี จากสมาชิกทั้งหมดประมาณ 3,000 ราย ในหลากหลายธุรกิจ
