ท่ามกลางภูมิทัศน์การค้าโลกที่ไม่ได้เผชิญเพียงการเปลี่ยนแปลง แต่กำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคแห่งความปั่นป่วนครั้งใหญ่ (Era of Disruption)” ที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลากหลายมิติ ทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ แนวนโยบายการค้าที่เน้นการปกป้องและกีดกันเพิ่มขึ้น กฎระเบียบระหว่างประเทศด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นรวมถึงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างก้าวกระโดด
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกภูมิภาค การคาดการณ์และวางแผนเชิงยุทธศาสตร์จึงเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้เกิดความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงกลุ่มประเทศ CLMVT ที่ประกอบด้วยประเทศ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อเศรษฐกิจโลกในฐานะส่วนสำคัญ ของห่วงโซ่การผลิตและการเชื่อมโยงทางการค้าและการลงทุน

เพื่อรับมือและคว้าโอกาสในสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนดังกล่าว สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ สคพ.( ITD) จึงจัดการสัมมนาเผยแพร่ “Trade Intelligence Report 2025” ภายใต้โครงการประชาคมข่าวกรองทางการค้าแห่งชาติ ปี 2568 ขึ้น เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกด้านการค้า และขับเคลื่อน “ประชาคมข่าวกรองทางการค้า” ที่เข้มแข็งทั้งภายในประเทศและระดับภูมิภาค
นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวถึง The Future of Regional Trade Intelligence Community ว่า ในช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ภูมิภาคของเรากำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงอยู่ โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจที่ส่งผลต่อตลาดส่งออกหลักของประเทศไทยและรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) ในปีนี้ ITD จึงมุ่งวางรากฐานสำคัญในการเชื่อมโยงประชาคมข่าวกรองการค้า สู่เครือข่ายข่าวกรองและข้อมูลเชิงลึกทางการค้าที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าเชิงลึกของประเทศ CLMVT เพื่อตอบสนองสถานการณ์อย่างทันท่วงทีพร้อมเตรียมรับมือกับความท้าทาย เพื่อให้เศรษฐกิจการค้าในภูมิภาคเติบโตได้อย่างยั่งยืนและร่วมกัน

“ผลงานของ ITD ในปีนี้ เป็นแค่เป็นจุดเริ่มต้นของประชาคมข่าวกรองทางการค้าเท่านั้น ในปีหน้า เราตั้งใจจะขยายเครือข่ายสู่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เพื่อให้เกิด ASEAN Trade Intelligence Community อย่างแท้จริง โดยจะแข็งแกร่งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทางการค้าทั่วอาเซียน พร้อมดันประเทศไทยให้ขึ้นเป็น ASEAN Trade Intelligence Center ศูนย์กลางการวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าระดับภูมิภาค”
นายสุภกิจ กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของ ITD จะมุ่งเน้นใน 3 แกนหลักสำคัญ คือ Connect, Share และ Forecast โดย Connect จะเชื่อมโยงทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการและนักธุรกิจจากทั่วภูมิภาค ร่วมระดมความคิดเห็น เปิดมุมมอง เปิดพื้นที่ให้เกิดความร่วมมือ สร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการค้าของภูมิภาคที่เข้มแข็ง ซึ่ง ITD เชื่อว่าการเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้น จะช่วยให้ทั้งอาเซียนมองภาพการค้าเป็นภาพเดียวกัน นำไปสู่เอกภาพ ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนการค้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูมิภาค
ส่วน Share คือ การแบ่งปันองค์ความรู้ ข้อมูลสถิติและประสบการณ์ผ่าน Workshop รวมถึงเวทีประชุมสัมมนาทั้งระดับประเทศและภูมิภาค เพื่อสร้างประชาคมข่าวกรองทางการค้า ที่ทุกฝ่ายสามารถมาแลกเปลี่ยนความรู้ และนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้ ส่วนสุดท้าย คือ Forecast หรือการคาดการณ์ วิเคราะห์แนวโน้ม แจ้งเตือนสถานการณ์การค้าของอาเซียนล่วงหน้า เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถรับมือโอกาสและความเสี่ยงทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสถานการณ์
และในปี 2569 จะเป็นการเริ่มต้นของช่วงเปลี่ยนผ่านใหม่ที่จะแข็งแกร่งกว่าเดิม การแลกเปลี่ยนข้อมูลมีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น โดย ASEAN Trade Analysis Community Center จะกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่สดใหม่ ทั้งสถานการณ์ เทรนด์ และการแจ้งเตือนที่สำคัญ ซึ่ง ITD จะเดินหน้าการเป็นศูนย์กลางประชาคมข่าวกรองทางการค้าอาเซียน ที่เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั้งคนและภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

สำหรับ Trade Intelligence Report 2025 เป็นการจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 2 ของ ITD โดยปีแรกจะเป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกภายในประเทศไทย ส่วนปีนี้เป็นครั้งแรกที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกหรือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Insights) ที่เป็นระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้ทุกภาคส่วนใน CLMVT สามารถรับมือกับความท้าทาย แสวงหาโอกาสทางการค้า รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทางการค้าของภูมิภาคในระยะยาว
…ทั้งนี้การขาดข่าวกรองทางการค้าที่ทันการณ์ ลึกซึ้ง และครอบคลุม จะทำให้ประเทศใน CLMVT เผชิญความเสี่ยงในการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่…

ด้านนายวิมล ปั้นคง รองผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวถึง ภาพรวมของTrade Intelligence Report 2025 ว่า แม้วิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ CLMV แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์สะท้อนให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับฐานการพัฒนาเดิม โดยกัมพูชากลับมามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 6 % ในปี 2567 จากแรงขับเคลื่อนของการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่สปป.ลาว ขยายตัว 4 % ในปี 2567 โดยมีการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟลาว-จีน ช่วยกระตุ้นภาคโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว สําหรับเวียดนามถือเป็นกรณีตัวอย่างของการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง โดยยังคงรักษาการเติบโตในระดับ 5-8 % ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการย้ายฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานโลก ส่วนเมียนมาซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ก็ยังสามารถกลับมาเติบโตได้ 1 % ในปี 2567 หลังจากเศรษฐกิจหดตัวอย่างหนักช่วงโควิด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวบางส่วนของเศรษฐกิจฐานราก
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วภายหลังวิกฤตโควิด-19 โดยเวียดนามยังคงเป็นศูนย์กลางหลักในการดึงดูด FDI ของอาเซียน โดยเฉพาะจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไต้หวัน ภายใต้กระแส “China Plus One” ซึ่งทําให้เกิดการย้ายฐานการผลิตสู่เวียดนามในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานหมุนเวียน ส่วนกัมพูชาได้รับการลงทุนใหม่ในภาคยานยนต์และอุปกรณ์ไฟฟ้า นอกเหนือจากภาคเสื้อผ้าและเกษตรกรรมที่เป็นฐานดั้งเดิม ด้าน สปป.ลาว ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระดับภูมิภาค เช่น รถไฟลาว-จีน และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่ต่อยอดการเป็น “แบตเตอรีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ส่วนแม้เมียนมาแม้จะยังเผชิญข้อจํากัดจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและการคว่ำบาตรจากนานาชาติ แต่การค้าชายแดนและการลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีนและไทยยังคงมีบทบาทสําคัญ
สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยและเวียดนามมีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม CLMVT ซึ่งประเทศไทยได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายเครือข่าย 5G และการลงทุนในดาต้าเซ็น เตอร์ ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม การแพทย์ดิจิทัล และโลจิสติกส์อัจฉริยะ ขณะเดียวกันไทยยังให้ความสําคัญกับการยกระดับทักษะดิจิทัลและการพัฒนาบริการทาง การเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนับสนุนทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน ส่วนเวียดนามถือเป็น “ดาวรุ่ง” ในเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งคาดว่าภายใน 4 ปี สัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีมากกว่า 20 % ของ GDP ความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับเกาหลีใต้ และการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ช่วยตอกย้ำศักยภาพของเวียดนามในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค
รอง ผอ. ITD กล่าวอีกว่า การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ในกลุ่มประเทศ CLMVT ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสําคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันและการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค โดยประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากที่สุดจากการลงทุนในโครงการ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) และการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก ระบบรางคู่ และศูนย์กระจายสินค้า เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอาเซียน การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวในกลุ่มประเทศ CLMVT ถือว่ามีความก้าวหน้า เนื่องจากแต่ละประเทศให้ความสําคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการตอบสนองต่อมาตรการสิ่งแวดล้อมสากล

“ การพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐและจีน ยังถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMVT มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สําคัญ โดยเฉพาะเวียดนามพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนกว่า 27 % ของการส่งออกทั้งหมด และพึ่งพาจีนในฐานะคู่ค้า อันดับสองคิดเป็น 17 % รวมถึงการนําเข้าจากจีนสูงถึงเกือบ 38 % ของทั้งหมด ทําให้เวียดนามอ่อนไหวต่อมาตรการภาษีและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอํานาจ ส่วนประเทศไทย แม้จะมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลายกว่า แต่ก็ยังเชื่อมโยงอย่างมากกับทั้งจีน ในมิติฐานการผลิตและการค้าในห่วงโซ่อุตสาหกรรม และสหรัฐในด้านฐานการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงเป็นความท้าทายสําคัญ”
อย่างไรก็ดีแม้กลุ่มประเทศ CLMVT จะมีศักยภาพด้านทําเลที่ตั้งและทรัพยากรธรรมชาติ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจยังเผชิญข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างภายใน โดยเฉพาะประสิทธิภาพการบริหารภาครัฐ ทุนมนุษย์ และนวัตกรรม โดยกัมพูชาและสปป.ลาว ยังคงมีความท้าทายด้านธรรมาภิบาลและการจัดการภาครัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน สปป.ลาว ยัง เผชิญปัญหาคุณภาพทุนมนุษย์ และอัตราการออกกลางคันของนักเรียนสูง ส่วนเมียนมาเผชิญข้อจํากัดรุนแรง ยิ่งขึ้นจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและด้านกลไกเชิงสถาบัน ทําให้ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจระหว่างประเทศได้ ในทางกลับกันเวียดนามและไทย แม้จะมีการพัฒนาที่ก้าวหน้ากว่า แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายในการยกระดับทักษะแรงงานเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมขั้นสูง ตลอดจนข้อจํากัดด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่ยังไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้นการยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ การลงทุนในทุนมนุษย์ และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม จึงเป็นความท้าทายร่วมที่ประเทศ CLMVT ต้องเผชิญ หากต้องการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ ประเทศไทยมีควรเร่งพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านโดยพัฒนาการอํานวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งอาศัยจุดแข็งจากการเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ที่พัฒนาแล้ว และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันไทยมีการค้าชายแดนประมาณ 10 % ของการส่งออกทั้งหมด การมีบทบาทเชิงรุกทําให้ไทยไม่เพียงเป็นประตูการค้าสําคัญของภูมิภาค แต่ยังเป็นกลไกเชื่อมโยงเพื่อส่งเสริมการบูรณาการเศรษฐกิจอาเซียนในระยะยาว ขณะเดียวกันภาคเอกชนไทยที่ต้องการยกระดับการลงทุนไปสู่ต่างประเทศ ควรเข้าไปมีบทบาทในการลงทุนโดยตรงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดต้นทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เราเชี่ยวชาญ เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว”
สำหรับผู้สนใจ Trade Intelligence Report 2025 ติดตามรายละเอียดได้ที่ https://www.itd.or.th/
