ร่วมแสดงความยินดี… กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ที่ปีนี้มีนักวิจัยหญิงถึง 2 ท่านที่มีผลงานโดดเด่นในด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จนสามารถคว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 ที่จัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งดำเนินงานโครงการมาเป็นปีที่ 23 และมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 91 ท่าน จากกว่า 20 สถาบันในประเทศไทย

นักวิจัยหญิงเก่ง ท่านแรกคือ “ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์” จาก ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เจ้าของผลงาน “ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” ส่วนอีกท่านคือ “ดร.มัตถกา คงขาว” จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. เจ้าของผลงาน “การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง”
… เส้นทางการเป็นนักวิจัยโดยเฉพาะผู้หญิงล้วนต้องอาศัยความมุ่งมั่น แรงบันดาลใจ รวมถึงต้องใช้กำลังกายและกำลังใจอย่างมากเพื่อให้ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ อาจมีความท้อแท้บ้าง ซึ่งนักวิจัยทั้งสองท่านต่างบอกว่า รางวัลนี้เปรียบเสมือนกำลังใจที่ได้กลับคืนมา และดีใจที่มีคนมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้เพียรพยายามทำมา…

โดย ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ กล่าวถึงการพัฒนา“ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร”ว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคอุบัติใหม่ ที่พบการระบาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2565 โดยเป็นโรคระบาดรุนแรง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทย โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้เกษตรกรจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม ขาดรายได้ และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องประสบปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง รวมถึงการนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคหูดับ หากมีการบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงไม่สุก
ประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยีพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาวัคซีนที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ดังนั้นมาตรการที่ใช้ควบคุมการระบาดของโรค ASF ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ยังทำได้เพียงการสร้าง “ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity” เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เข้าหรือออกจากฟาร์ม แต่ด้วยต้นทุนการจัดการฟาร์มที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางจะลงทุนเพื่อหวนกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจได้ การวิจัยพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาโรคระบาด ASF ได้

และนั่นคือโจทย์เร่งด่วนที่ทำให้ ดร. สพญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และทีมวิจัยเดินหน้าพัฒนา “วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF” หนึ่งในแผนงานการพัฒนา “วัคซีนสัตว์” ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand ของ สวทช. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยแก้ปัญหาสำคัญของชาติ และตอบโจทย์มิติการพึ่งพาตนเอง
ทีมวิจัยเร่งศึกษาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัส ASF เทคโนโลยี จนถึงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบ โดยอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนกระทั่งพัฒนา “วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” จาก “ไวรัสสายพันธุ์ไทย” ได้สำเร็จ รวมทั้งมีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

“ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70 – 100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป”
ทั้งนี้หากผลการทดสอบวัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในฟาร์มจริงประสบความสำเร็จ จะเป็นความหวังในการพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยฟื้นฟูฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางให้หวนกลับมาทำอาชีพได้อีกครั้ง

“ทุกวันนี้แรงบันดาลใจสำคัญในการทำวิจัยคือ “เกษตรกรไทย” เพราะแม้พวกเขาจะเคยสูญเสียทุกอย่างจากโรค ASF แต่จากการลงพื้นที่สัมผัสได้ว่า พวกเขายังคงมีความหวังที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาจเป็นอาชีพเดียวได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้ฟาร์มเล็ก ๆ ของเกษตรกรฟื้นคืนกลับมาได้ และช่วยให้พวกเขามีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นความภูมิใจสูงสุดในฐานะนักวิจัย”

การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF นอกจากจะเป็นความหวังที่ช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมสุกรแล้ว ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงลดการพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศในอนาคต ที่สำคัญองค์ความรู้ เครื่องมือและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการวิจัยครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่น ๆ เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้ด้วยตนเองในอนาคต
ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF และการวิจัยพัฒนาวัคซีนสัตว์อื่น ๆ ในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือและผลักดันจากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และบริบทของกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตวัคซีนสัตว์ที่มีมาตรฐานสากลและการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะทำให้ทีมวิจัยสามารถต่อยอดจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมได้ เป็นความหวังที่อยากให้เกิดการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันในภูมิภาคได้

ส่วนผลงาน “การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” ดร.มัตถกา คงขาว กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษาโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs แบบเดิมยังมีข้อจำกัดมาก เช่น ยาดูดซึมได้ไม่ดี มีการกระจายไปทั่วร่างกายแบบไม่จำเพาะ ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัวยาสำคัญเกิดการสลายตัวในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่จำเพาะเจาะจง นอกจากนี้ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์บางตัวที่ไวต่อสภาพแวดล้อม เช่น เพปไทด์หรือสารสมุนไพร มักเสื่อมสลายง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง ที่สำคัญผู้ป่วยบางรายมีโรคร่วมหลายอย่าง ทำให้ต้องรับประทานยาจำนวนมาก
“การนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้พัฒนาระบบนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง คือหนทางควบคุมการปลดปล่อยยาได้ตรงจุด เพิ่มเสถียรภาพของยา และช่วยให้ยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยนาโนเทคทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปีในการพัฒนา “อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)” โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้น ๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี”

ยกตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องให้ยาคีโมซึ่งปัจจุบันยาคีโมมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติอย่างไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาคีโมไปทำลายเซลล์รากผมหรือเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงหรืออาเจียน ดังนั้นหากใช้อนุภาคนาโนไขมันนำส่งยาไปยังเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง จะช่วยลดผลข้างเคียงและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยก็ดีขึ้น
หรือในกรณีผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มโรค NCDs ที่มักมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไตวายเรื้อรัง อาจต้องรับประทานยาปริมาณมาก ขณะที่ยาเหล่านั้นอาจออกฤทธิ์แค่ 10-20% เท่านั้น การใช้อนุภาคนาโนไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สามารถลดปริมาณยาและลดการได้รับผลข้างเคียงจากยา ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
ปัจจุบันเทคโนโลยีผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับ Pre-Clinic ในสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างต่อยอดการทดสอบทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีร่วมกับพันธมิตรและเครือข่าย ทั้งคณะเภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หากได้ผลดีจะมีการทดสอบในอาสาสมัครที่มีแนวโน้มเป็นโรคในกลุ่ม NCDs และผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่ม NCDs ต่อไป โดยทีมวิจัยคาดว่าจะผลักดันเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปี

“การออกแบบการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแบบมุ่งเป้าด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บยาหรือสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในอนุภาคนาโนไขมันที่ดัดแปลงพื้นผิวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด ลดผลข้างเคียงของยา และช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญหากประเทศพัฒนานวัตกรรมได้เอง จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอนุภาคนาโนที่ ดร.มัตถกา พัฒนาขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีแผนนำไปใช้ในเชิงเวชศาสตร์ป้องกันในด้านการชะลอและป้องกันการเกิดโรค NCDs รวมถึงประยุกต์ใช้ในการกักเก็บสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย
“อนุภาคนาโนไขมันที่พัฒนาขึ้นยังใช้กักเก็บสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive) จากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในเรื่องการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคในกลุ่ม NCDs รวมถึงกักเก็บสารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำอนุภาคนาโนไขมันไปใช้กักเก็บสารสกัดกระชายดำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และปัจจุบันสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกระชายดำในเชิงเวชสำอางและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของผลงานวิจัยภายใต้แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทยเพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (PhytoEX) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในมิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย และสอดรับกับแผนนโยบายประเทศในการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”
อนุภาคนาโนไขมันไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่ช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงในอนาคต

การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทยจากลอรีอัลในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้กับนักวิจัยแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ยืนยันหรือสะท้อนให้เห็นว่า งานวิจัยและแผนกลยุทธ์ที่ สวทช. ผลักดันนั้นมาถูกทาง และสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้จริง.
