“บีบีจีไอ” จิ๊กซอร์สำคัญของดีพเทคสตาร์ทอัพด้านไบโอเทคโนโลยี

Cover Story

               งานวิจัยหากไม่มีการต่อยอดนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยใด  คำว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ก็ยังเป็นคำที่ถูกนำมาใช้ให้ได้ยินกันอยู่เสมอ ๆ

               แต่การลงจาก “หิ้ง” สู่ “ห้าง” ไม่ใช่เรื่องง่าย  โดยเฉพาะกับผลงานวิจัยที่เป็นเทคโนโลยีเชิงลึกที่นอกจากนักวิจัยจะต้องทุ่มเทเวลาในการสร้างองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญจนประสบความสำเร็จเกิดเป็นนวัตกรรม และต้นแบบในห้องปฏิบัติการแล้ว  สิ่งที่ยากยิ่งกว่าก็คือการได้ออกจากห้องปฎิบัติการ ต่อยอดผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์  ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนในการผลิตเป็นจำนวนมากและส่งต่อไปจนถึงมือประชาชน

               หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว   จึงให้ทุนสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้งานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์

               อย่างเช่น การให้ทุนสนับสนุน “ โครงการการพัฒนาเอนไซม์สลายยาฆ่าแมลง เพื่อเป็นส่วนประกอบฟังก์ชั่นของน้ำยาล้างผักผลไม้ในตลาดอาหารปลอดภัยและการผลิตต้นแบบเพื่อขยายผลเชิงพาณิชย์”  ซึ่งดำเนินการโดย “ บริษัท ไบโอม จำกัด ”  ดีพเทคสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ spin-off  จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมกับ “บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน)”   

               ศาสตราจารย์ ดร.อลิสา วังใน  CTO ของไบโอม บอกว่า  “เมื่อผลงานวิจัยพร้อม  รอให้ผู้ประกอบการเข้ามาชี้เป้าว่าจะสามารถนำไปตอบโจทย์ใครได้บ้าง   หน่วยงานให้ทุนอย่าง บพข.   จะเป็นเสมือนกามเทพ ที่นอกจากจะพานักวิจัยและผู้ประกอบการให้มาเจอกันแล้วยังให้ทุนสนับสนุนในการเริ่มต้นที่จะทำต้นแบบออกมา พร้อมทั้งประเมินศักยภาพในด้านต้นทุนการผลิต การขยายกำลังการผลิต ซึ่งจะต้องมีการทดสอบ ปรับปรุง และสุดท้ายถึงออกสู่เชิงพาณิชย์ได้”

               ขณะที่บริษัท บีบีจีไอ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพทั้งไบโอดีเซลและเอทานอล มากว่า20 ปี   และกำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำกลุ่มบริษัทผลิตภัณฑ์ชีวภาพด้วยนวัตกรรมสีเขียวและดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน 

               การก้าวเข้ามาร่วมทุนกับดีพเทคสตาร์ทอัพอย่างไบโอม  นายกิตติพงศ์  ลิ่มสุวรรณโรจน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่   บีบีจีไอ บอกว่า   ปัจจุบัน บีบีจีไอ พยายามทรานฟอร์มตัวเองด้วยการนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่เข้ามาต่อยอดจากธุรกิจเดิม  ทำให้ต้องมองหาพันธมิตรที่มีศักยภาพ จึงร่วมทุนกับไบโอม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ   โดยไบโอมจะเป็นผู้พัฒนางานวิจัยออกมาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า   ส่วนบีบีจีไอจะนำต้นแบบมาสู่กระบวนการในการขยายกำลังผลิตและทำการตลาด รวมถึงหาโจทย์ที่เป็นความต้องการของตลาดมาให้กับไบโอม  ซึ่งเป็นต้นน้ำในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 

               “งานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ  สิ่งที่ยากที่สุด คือ การขยายกำลังการผลิตในระดับอุตสาหกรรม  ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน  นักวิจัยจะเชี่ยวชาญเรื่องจุลินทรีย์ และการวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ แต่เมื่อเข้าไปสู่โรงงานจะเป็นเรื่องของวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำไปใช้เพื่อที่จะให้ได้สินค้าที่ต้องการ และสุดท้ายก็คือด้านการตลาด ที่จะบอกได้ว่างานวิจัยนั้น ๆ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร  บีบีจีไอ จะเป็นอีกหนึ่งจิกซอร์ของไบโอม ในการใช้องค์ความรู้จากไบโอมมาพัฒนาเพื่อเป็นตลาดในอนาคต  และ เอนไซม์ล้างผักผลไม้ย่อยสลายยาฆ่าแมลง จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของบีบีจีไอที่ร่วมทุนกับไบโอม”

               นายกิตติพงศ์  บอกว่าเรื่องของยาฆ่าแมลงมีปัญหามานาน เพราะใช้ในการป้องกันแมลงศัตรูพืช  แต่หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง จะมีสารตกค้างซึ่งปัจจุบันพบว่ามีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในผักและผลไม้   “เอนไซม์ล้างผักผลไม้ย่อยสลายยาฆ่าแมลง” ที่จะผลิตขึ้นถือเป็นนวัตกรรมที่เป็น Total Solution    เนื่องจากโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว มีการใช้น้ำยาล้างผักมานาน โดยเป็นการนำเอามาชะล้างให้ยาฆ่าแมลงที่อยู่บนผักนั้นหลุดออกไปให้มากที่สุด แต่งานวิจัยของไบโอมแตกต่าง ไม่ได้เป็นการชะล้าง  แต่เป็นการต่อยอดใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่สามารถย่อยสลายยาฆ่าแมลงในดิน มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยน แปลงสภาพยาฆ่าแมลงตกค้างจากที่เคยเป็นพิษ ให้กลายเป็นไม่เป็นพิษได้   น้ำที่ชะล้างออกมาจึงไม่มีพิษต่อสิ่งแวดล้อม  ไม่ต้องเสียเวลาและงบประมาณในการบำบัด  เรียกว่าเป็นการตัดวงจรความเป็นพิษ ตอบโจทย์ได้ทั้งระบบ แก้ปัญหาทั้งเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัยในอาหารและไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม   

               ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ระหว่างการขอ อย. คาดว่าจะสามารถผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ประมาณปลายไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3  ปีนี้  

               ผู้บริหารบีบีจีไอ มองการให้ทุนสนับสนุนของบพข. ในช่วงแรกของการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ  ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการทำเรื่องใหม่ที่ช่วงแรก ๆจะมีความเสี่ยง  จึงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่วนการกำหนดเงื่อนไขการขอทุนที่จะต้องมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยนั้น จะเป็นการทำให้เกิดความมั่นใจว่างานวิจัยนั้น ๆ สามารถที่จะต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์ได้

               “ไบโอเทคโนโลยี เป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพ รวมถึงเป็นเทรนด์ของโลกทั้งด้านเทคโนโลยี สุขภาพและความยั่งยืน  การทำธุรกิจด้านไบโอเทคโนโลยี  เชื่อว่าจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และช่วยกันสร้างอีโคซิสเต็มส์ขึ้นมา”  

              สำหรับผู้สนใจนวัตกรรมคนไทยพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ รอชมได้ที่งาน “บพข. สร้างสรรค์เศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงโลกด้วยวิจัยและนวัตกรรม” (PMUC Research for Thailand’s Competitiveness 2023)    ระหว่างวันที่ 26-27 เมษายนนี้  ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์