เสียวหมี่ เดินหน้ากลยุทธ์สำคัญ “ ระบบนิเวศอัจฉริยะ Human × Car × Home ” ที่มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อ โดยผสานเอาอุปกรณ์ส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮม และรถยนต์เข้าไว้ด้วยกัน และได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีหลักพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้าน Chip , AI และระบบปฏิบัติการ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น ในราคาที่เข้าถึงได้

ล่าสุด…เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ เสียวหมี่ ประเทศไทย จัดงาน “ Xiaomi SEA Launch Event ” ขึ้น ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ พร้อมประกาศวางจำหน่าย “สมาร์ทโฟน Redmi Note 14 Pro 5G BamBam Limited Edition และ Redmi Note 14 สีใหม่สี Sand Gold” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย รวมถึงเปิดตัวนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่พร้อมออกสู่ตลาดโลกทั้ง เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและการออกแบบที่สวยงาม
“นายอเล็กซ์ ถัง” ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล และผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้แม้จะเพิ่งผ่านมาครึ่งปี แต่เป็นปีที่น่าทึ่งสำหรับเสียวหมี่ ที่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายใหม่ ๆ ได้ โดยปัจจุบันเสียวหมี่ มี Xiaomi store มากกว่า 260 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้เปิด Xiaomi store 4 แห่งใหม่ในประเทศไทย สิงคโปร์และมาเลเซีย และภายในไตรมาสแรกของปี สมาร์ทโฟนของเสียวหมี่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับสองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่แท็บเล็ตครองอันดับสาม
ส่วนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของเสียวหมี่มีการเติบโตอย่างมั่นคง โดยในไตรมาสแรกได้ส่งมอบรถยนต์ Xiaomi SU7 Series ไปแล้ว กว่า 7 หมื่นคัน และเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อบรรลุเป้าหมายการส่งมอบรถยนต์ 350,000 คันตลอดทั้งปี และ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เปิดตัวรถยนต์เอนกประสงค์สุดหรู ( Luxury SUV )รุ่นแรกของเสียวหมี่ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ตามกลยุทธ์ Human × Car × Home ขณะที่สมาร์ทโฮม ขณะนี้มีจำนวนอุปกรณ์ IoT (ไม่รวมสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแล็ปท็อป) ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม AIoT ของเสียวหมี่ มากกว่า 940 ล้านเครื่อง

สำหรับไฮไลต์ของงาน “ Xiaomi SEA Launch Event ” ครั้งนี้ อยู่ที่การเปิดตัว “ สมาร์ทโฟน Redmi Note 14 Pro 5G BamBam Limited Edition และ Redmi Note 14 สีใหม่สี Sand Gold”
นายทีเจ วอลตัน ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ เสียวหมี่ อินเตอร์เนชันเนล กล่าวว่า เสียวหมี่มอง Redmi Note 14 Series และผู้ที่ชื่นชอบ Redmi Note 14 Series เปรียบได้ดั่งผู้ที่มีชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความอ่อนเยาว์ และด้วยความมีเสน่ห์ ความมีน้ำใจ และความเอาใจใส่ของ “ BamBam” กันต์พิมุกต์ ภูวกุล นั้นเหมาะกับภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์นี้ การมี BamBam เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Redmi Note 14 Series ถือเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบและลงตัว

โดย Redmi Note 14 Pro 5G BamBam Limited Edition มาพร้อมดีไซน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีลายเซ็นของ “แบมแบม” บนฝาหลังและตัวเครื่องสีพิเศษสีใหม่ สนุกกับการถ่ายภาพด้วยกล้องความละเอียด 200 MP และฟีเจอร์ Advanced AI มากมายที่จะให้สร้างสรรค์ภาพถ่ายได้อย่างราบรื่น ด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7300-Ultra พร้อมความทนทานรอบด้านไม่ว่าจะเป็นการทนต่อฝุ่นและน้ำตามมาตรฐาน IP68 การทนต่อรอยขีดข่วนจาก Corning® Gorilla® Glass Victus® 2 และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5110mAh ที่รองรับการใช้งานในทุกรูปแบบได้ตลอดวัน

ส่วน Redmi Note 14 ได้วางจำหน่ายสีใหม่ คือ สี Sand Gold ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในทุกการสัมผัส มาพร้อมระบบกล้อง AI ความละเอียด 108 MP และฟีเจอร์การแต่งรูป AI อย่าง AI Sky and AI Erase ที่ทำให้การสลับพื้นหลังหรือการลบสิ่งที่ไม่ต้องการเป็นเรื่องง่าย ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio G99-Ultra ที่เร็วแรงโดยมอบประสิทธิภาพที่ราบรื่นและตอบสนองได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังให้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5500mAh และการชาร์จเทอร์โบ 33W ที่จะช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน รวมไปถึง การปกป้องขั้นสุดด้วยกระจก Corning® Gorilla® Glass 5
จากความโดดเด่นในเรื่องความสามารถของกล้อง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการพัฒนา Redmi Note ที่ต้องการเป็น “สมาร์ทโฟนที่ให้คุณค่าที่ดีที่สุด ด้วยสเปกอันน่าทึ่ง ในช่วงราคาระดับกลางตลอดมา” อนาคตจะมีการขยายความสามารถของกล้องให้ดียิ่งขึ้นในระดับราคาที่คงเดิม
นายทีเจ วอลตัน มองว่า ฟีเจอร์ของ Redmi Note 14 Series สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของผู้ใช้ชาวไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการชอบถ่ายรูป ซึ่งเสียวหมี่ทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาซอฟต์แวร์เกี่ยวกับกล้องเซลฟี่และซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งานชาวไทยรวมไปถึงผู้ใช้งานชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ ในไตรมาส 1 ปีนี้ เสียวหมี่ได้ขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับ 2 ของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และตอบรับจากผู้ใช้ชาวไทย ซึ่งวิธีการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ คือ การย้อนกลับไปสู่แนวคิดในการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกัน โดยสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่สามารถที่จะเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเสียวหมี่ได้ ซึ่งเชื่อว่ายากมากที่แบรนด์อื่น ๆ จะมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สามารถโต้ตอบกันได้อย่างราบรื่น”

นอกจากสมาร์ทโฟนแล้ว เสียวหมี่เปิดตัวแท็บเล็ต Redmi Pad 2 Series ซึ่งประกอบด้วย Redmi Pad 2 และ Redmi Pad 2 4G โดย Redmi Pad 2 Series มาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูง ขนาด 11 นิ้ว ให้รายละเอียดคมชัดและสีสันสดใสเหมาะสำหรับการดูวิดีโอ เล่นเกม หรือท่องเว็บ ด้วยความหนาแน่นของพิกเซล 274 ppi และอัตราการรีเฟรช 90Hz ปกป้องสายตาจากแสงสีฟ้า ปราศจากการกระพริบและเป็นมิตรทางชีวภาพ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 9000mAh (typ) ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ MediaTek Helio G100-Ultra รองรับระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS และการใช้งานซิมคู่ สามารถเชื่อมต่อ 4G พร้อมกันทั้งสองซิม ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากนี้ยังมีการวางจำหน่าย จอมอนิเตอร์ Xiaomi 4K Monitor A27Ui ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้หน้าจอในระดับมืออาชีพ หน้าจอ IPS ระดับพรีเมียมขนาด 27 นิ้ว ด้วยมุมมองที่กว้างถึง 178 องศา ด้วยความชัดระดับ 4K UHD ความละเอียด 3840 x 2160 รวมถึง ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ AIoT ใหม่อื่นๆ อาทิ พาวเวอร์แบงค์ Xiaomi Power Bank 20000 (Integrated Cable) และกล้องวงจรปิด Xiaomi Smart Camera C100


และที่น่าสนใจ ..ในงาน“ Xiaomi SEA Launch Event ” ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะขนาดใหญ่ ที่เสียวหมี่ต้องการทำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเปิดตัวออกสู่ตลาดระดับโลก หลังจากไตรมาสแรกของปีนี้ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะขนาดใหญ่ภายในบ้านของเสียวหมี่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ อย่างเช่น ตู้เย็น Mijia Refrigerator Cross Door 510L ที่สามารถเก็บรักษาความสดไว้ได้อย่างดีเยี่ยม มีเทคโนโลยี Ag+ Fresh ที่ขับเคลื่อนด้วยโมดูลไอออนเงิน (silver ion modules) ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย พร้อมทั้งขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์

นอกจากนี้ ยังมีโหมดอัจฉริยะต่างๆ เช่น Auto, Super Cool และ Super Freeze ที่ทำให้สามารถปรับการทำงานให้เข้ากับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อการรักษาคุณภาพของอาหารไว้ได้อย่างดีที่สุด มีการควบคุมอัจฉริยะ โดยมีระบบ Wi-Fi ในตัว จึงรองรับการปรับอุณหภูมิ การสลับโหมดการทำงานจากระยะไกล และการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านแอป Xiaomi Home เช่น แจ้งเตือนการเปิดประตูทิ้งไว้ นานเกิน 2 นาทีเพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน

ส่วน ทีวีอัจฉริยะ Xiaomi TV A Pro Series 2026 รุ่นขนาดจอ 75”, 65”, 55” และ 43” มาพร้อมความละเอียดระดับ 4K UHD ด้วยเทคโนโลยี QLED ที่ให้สีสันสดใสและรายละเอียดสมจริง รองรับ HDR10+ ในขณะที่ Xiaomi TV A Series 2026 รุ่นขนาดจอ 65”, 55” และ 43” มาพร้อมจอถนอมสายตาความละเอียดระดับ 4K UHD โดยทั้ง Xiaomi TV A Pro Series 2026 และ Xiaomi TV A Series 2026 ยังให้ประสิทธิภาพเสียงที่ดีเยี่ยม ด้วยลำโพงคู่ขนาด 10 วัตต์ และเทคโนโลยีเสียง Xiaomi Sound ที่รองรับ Dolby Audio, DTS-X และ DTS Virtual:X ใช้หน่วยประมวลผล Quad-core A55 พร้อมด้วย RAM ขนาด 2GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 8GB โดยทำงานบนระบบ Google TV™

อย่างไรก็ดีจากผลิตภัณฑ์ทั้งสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่นำมาเปิดตัวในงานนี้ ล้วนมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นฟีเจอร์สำคัญ ซึ่ง นายทีเจ วอลตัน บอกว่า แม้ฟีเจอร์ AI จะมีส่วนสำคัญมาก แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือ ประสบการณ์การณ์เชื่อมต่อโดยรวม ดังนั้นสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ จะทำการหน้าที่เป็นศูนย์กลางการสั่งการที่จะติดตัวผู้ใช้งานตลอดเวลาและต้องสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ของเสียวหมี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หรือแม้แต่ไฟในบ้าน

“และนี่คือสภาพแวดล้อมอัจฉริยะที่เสียวหมี่กำลังมอบให้กับผู้ใช้งาน เป็นการที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับการทำสิ่งต่างๆ แต่เครื่องมือของพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร และจะทำสิ่งนั้นให้ได้ ซึ่ง AI หรือซอฟต์แวร์ จะมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ ดังนั้นผมคิดว่า AI ในผลิตภัณฑ์แต่ละผลิตภัณฑ์มีความสำคัญมาก แต่เป้าหมายหลักของเรา คือ การเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเข้ากับระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกัน” นายทีเจ วอลตัน กล่าว
