วช. จัดเสวนา“นำวิจัยนวัตกรรม ร่วมสู้ภัย น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก”

News Update

วช. จัดเสวนา“นำวิจัยนวัตกรรม ร่วมสู้ภัย น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก”  นักวิจัยเผยน้ำท่วมเชียงรายเกิดจากฝนสะสม และมีสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ  ส่วนการเตือนภัยในพื้นที่ต้นน้ำยังไม่ชัดเจน ต้องปรับเกณฑ์และใช้เทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อลดความเสียหายต่อพื้นที่เศรษฐกิจในอนาคต

            กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรร ม(อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  (วช.)จัดเสวนา “นำวิจัยนวัตกรรม ร่วมสู้ภัย น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก”   โดย ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  (วช.)กล่าวว่า  ด้วยสถานการณ์น้ำท่วมน้ำป่าไหลหลาก เมื่อ 26 มิถุนายนผ่านมา เกิดจากฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา ได้รับผลกระทบหนัก ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในหลายพื้นที่ของประเทศ วช. ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมตามแผนงานสำคัญของประเทศ  ภายใต้แผนงานเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ ววน. ในประเด็น “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง”  ได้ให้ความสำคัญในการใช้ชุดข้อมูลจากผลงานวิจัยและนวัตกรรมสนับสนุนการรับมือสถานการณ์ในระดับพื้นที่  ทั้งการวางแผนน้ำแบบบูรณาการระดับจังหวัด อำเภอ และ อบต. การจัดทำระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง นวัตกรรมชุมชนในการวางแผนรับมืออุทกภัย และการเตรียมความพร้อมของชุมชน

            ทั้งนี้ในเสวนา ฯ ซึ่งมี  “รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์”  ผู้อำนวยการแผนงาน (Program Director) แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด ของ วช. เป็นผู้ดำเนินการเสวนา ได้มีการให้ข้อมูลการ วิจัย และนวัตกรรมที่นำไปใช้ในเป็นแนวทางการแก้ไข ฟื้นฟู และป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ ววน. ในประเด็น “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง”   

            ผศ. ดร. อังกูร ว่องตระกูล  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา กล่าวถึง สถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงรายเกิดจากผลที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เดิม ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน ซึ่งเกิดจากร่องมรสุม จนทำให้มีฝนสะสมมากกว่า 300 มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำหลากจากพื้นที่ป่าต้นน้ำอย่างรวดเร็ว เข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยก่อนที่จะระบายลงสู่แม่น้ำอิง ซึ่งสาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ มีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำด้วย

             ในส่วนของการเตือนภัยในพื้นที่เขาต้นน้ำซึ่งเป็นต้นทางยังไม่ชัดเจน   ซึ่งปัจจุบันนักวิจัยได้ศึกษาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในพื้นที่แม่น้ำกก ในการกำหนดเกณฑ์เตือนภัยและส่งข้อมูลในการเตือนภัยก่อนที่น้ำจะเดินทางมาถึง 2 – 15 ชั่วโมง การเตือนภัยในอนาคตอาจจะต้องขยับจุดสูงขึ้นไปยังพื้นที่ต้นน้ำ จะต้องใช้ เรดาห์ คอมโพสิท ในการประเมินข้อมูลฝนร่วมด้วย เพื่อลดความเสียหายต่อเขตเศรษฐกิจในเขตพื้นที่เมือง

            รศ. ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ภาวะฝนที่เชื่อมโยงกับเหตุดินถล่ม รวมถึงการเตือนภัย ให้ข้อมูลว่า  ในพื้นที่อำเภอพญาเม็งรายไม่ใช่พื้นที่ชันและสูง ทำให้ความเสี่ยงน้อยกว่าฝั่งอำเภอแม่อาย โดยในการเตือนภัยปัจจุบันเราใช้ข้อมูลฝนล่วงหน้า 2 วัน จาก สสน. มาทำนายโดยใช้แบบจำลอง โดยความเสี่ยง ณ ปัจจุบัน คือ พื้นที่จังหวัดน่าน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงรายในบางพื้นที่ และจังหวัดตาก  โดยข้อมูลเหล่านี้ กรมทรัพยากรธรณีใช้เป็นข้อมูลควบคู่กับการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่จริง  เนื่องจากการจัดการดินถล่มเป็นเรื่องเฉพาะจุด ซึ่งในการวิจัยเป็นการลงพื้นที่เพื่อประเมินความเสี่ยง และให้ข้อมูลแก่ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อการปรับตัว เช่น ย้ายออก หรือปรับปรุงโครงสร้างให้เหมาะสมในกรณีที่ยังไม่สามารถย้ายออกร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงการเตือนภัยผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งจะมีการวิจัยต่อยอดเพื่อให้มีความแม่นยำเพิ่มขึ้น

            ดร.ศรเทพ  วรรณรัตน์   สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ภายใต้ concept แน่น แม่น พอ  ซึ่งบูรณาการข้อมูลจาก 53 หน่วยงาน จาก 12 กระทรวง ซึ่งปัจจุบันได้มีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลเพื่อใช้ร่วมกัน ให้เกิดการบูรณาการได้ง่ายยิ่งขึ้น  ในส่วนแอพพลิเคชั่น ThaiWater ที่ช่วยให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะการคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 7 วัน ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่การประเมินพื้นที่เสี่ยงในระดับตำบลโดยใช้ข้อมูลจากระบบโทรมาตรประกอบ ซึ่งจะส่งต่อข้อมูลให้ ปภ. เพื่อแจ้งเตือนประชาชนต่อไป

            และช่วงท้ายของเสวนา รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน ฯ ได้กล่าวสรุป กรณีที่ฝนตกซ้ำที่เดิมแบบนี้เรียกว่าฝนตกในแนวปะทะ  ซึ่งจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถทำนายได้แม่นยำขึ้น รวมถึงการลงชุมชนเพื่อให้คนชุมชนในพื้นที่ เรียนรู้ ตั้งเกณฑ์ ตรวจวัดในเบื้องต้นได้ และนำไปสู่แนวทางในการปรับตัวผ่าน option ต่าง ๆ ซึ่งแผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด ของ วช. จะรวบรวมชุดความรู้จากผลการศึกษาวิจัยต่อยอด เทคโนโลยี แพลตฟอร์ม และนวัตกรรม เพื่อหน่วยงานที่ร่วมทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำ ได้นำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติอย่างเป็นระบบต่อไป