NIA เผยผลดำเนินงานปี 68 ก่อนก้าวขึ้นสู่ปีที่ 16    

News Update

           2 กันยายน 2568 ครบรอบ 16 ปี ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA  ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศไทย

           ซึ่งปัจจุบัน NIA ได้กำหนดบทบาทของตัวเองในการเป็นผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor) พร้อมเชื่อมการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจนวัตกรรมในทุกมิติ ผ่านแนวคิด 4 G ได้แก่ Groom การบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรม Grant การสนับสนุนเงินทุน Growth การสร้างการเติบโตด้วยโอกาสในการขยายตลาดและแหล่งเงินทุน และ Global การต่อยอดเข้าสู่ตลาดระดับโลก

             โดย NIA ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ชาตินวัตกรรม” ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ  

           “ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ” ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ บอกถึง จุดแข็งของธุรกิจนวัตกรรมไทยว่า มีทั้งความพร้อมของนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม ที่มีการสนับสนุนจากภาครัฐและการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เปิดกว้าง ผนวกกับความสามารถในการผสานวัฒนธรรมและเทคโนโลยี เพื่อผลิตส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์  การมีความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ และการเติบโตของตลาดในภูมิภาคเอเชีย ที่ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากต่างชาติ  ทำให้ทั้งสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีไทย ยังมีโอกาสที่จะขยายการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

            ทั้งนี้ NIA ได้มีการสรุปผลการดำเนินงานในช่วง 1ปีที่ผ่านมา ซึ่งในมิติของ  “ Groom”   NIA ได้เร่งพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพทางนวัตกรรมผ่าน 16 หลักสูตรสร้างนวัตกรรมภายใต้ NIA Academy ซึ่งครอบคลุมทั้งกลุ่มเยาวชน ผู้ประกอบการ องค์กร และผู้นำรุ่นใหม่ กว่า 40,000 คน การพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นผ่านกิจกรรมสตาร์ทอัพไทยแลนด์ลีคในระดับนิสิต/นักศึกษากว่า 250 ทีมจาก 50 มหาวิทยาลัยเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพและความสามารถด้านนวัตกรรมแก่เยาวชนในระดับอุดมศึกษา ให้มีทักษะและมุมมองในการเป็นผู้ประกอบการ พร้อมก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเป็นสตาร์ทอัพที่ต้องออกสู่ตลาดจริง

           สำหรับในมิติของ “Grant”  NIA  ได้ร่วมสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี หรือวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ต้องการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง   โดยแบ่งเป็นทุนนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และทุนนวัตกรรมรายพื้นที่ ผ่าน 9 กลไกหลักที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1. นวัตกรรมแบบเปิด 2. โครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า 3. การพัฒนามาตรฐานสำหรับธุรกิจนวัตกรรม 4. ดอกเบี้ยบางส่วนเพื่อเสริมสภาพคล่อง 5. การขยายผลนวัตกรรมในระดับภูมิภาคสู่ตลาด 6. ที่ปรึกษาพัฒนานวัตกรรม 7. การขยายธุรกิจนวัตกรรม 8. นวัตกรรมดี…ไม่มีดอกเบี้ย และ 9. การสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้มีโอกาสเติบโตและขยายตลาดโดยการร่วมมือจากแหล่งทุนภาครัฐและเอกชน/การร่วมลงทุน โดยในปีนี้ NIA สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมไปแล้ว 254 โครงการ มูลค่าการสนับสนุนกว่า 397 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม)

           ส่วนการสร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุน   หรือ “Growth”  NIA ได้จัดทำโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย  5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม โดยในปี 2569 NIA ตั้งเป้าเร่งสร้างการเติบโตให้กับสตาร์ทอัพ 100 กิจการ ซึ่งคาดว่าจะเกิดรายได้จากธุรกิจนวัตกรรม 1,000 ล้านบาท และเกิดการลงทุนเพิ่มกว่า 2,000 ล้านบาท รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ตัวอย่างความสำเร็จทางนวัตกรรมผ่าน “โครงการนิลมังกร” ซึ่งเข้าสู่ปีที่ 3 โดยรุ่นที่ 1 และ 2 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการแบรนด์นวัตกรรมไทยกว่า 40 ราย เฉลี่ย 3.4 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 530 ล้านบาท

           ขณะที่ ในมิติของ  “Global”   NIA ยังเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลกที่มีบริการครอบคลุมทั้งสตาร์ทอัพไทยที่ต้องการไปเติบโตยังต่างประเทศ หรือสตาร์ทอัพต่างประเทศที่จะเข้ามาสร้างธุรกิจนวัตกรรมในประเทศไทย โดยมีตั้งแต่การให้คำปรึกษา ตลาด การลงทุน เครือข่าย สมาร์ทวีซ่า มาตรการภาษีสำหรับสตาร์ทอัพ รวมถึงการนำสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพออกสู่ตลาดโลกผ่านการเชื่อมตลาดระหว่างประเทศ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สวีเดน ฟินแลนด์ กาตาร์ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสการขยายธุรกิจ และโอกาสการระดมทุน

           นอกจากนี้ ยังมีโครงการยกระดับวิสาหกิจฐานนวัตกรรมให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และต่อยอดการลงทุนสู่ตลาดสากลผ่าน 3 โปรแกรม ได้แก่ Corporate Spark เน้นการจับคู่ธุรกิจกับสตาร์ทอัพนานาชาติที่มีเทคโนโลยีหรือบริการโดดเด่น Global Market Link สร้างโอกาสเชื่อมโยงและขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และ Global Investment Link ยกระดับศักยภาพเพื่อโอกาสรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ

           อย่างไรก็ดี NIA ได้กำหนดโครงการเรือธง (Flagship Project)  ใน 3 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาศูนย์กลางทางการแพทย์ 2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของสตาร์ทอัพด้านเกษตร และ 3. การเร่งสร้างธุรกิจนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก รวมถึงการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลและรายงานผลการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย หรือ NIA Innovation Journey & Dashboard 2026 เพื่อเป็นฐานข้อมูลผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม สินค้าหรือบริการที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA รวมถึงข้อมูลการเติบโตของผู้ประกอบการนวัตกรรม ซึ่งสามารถนำชุดข้อมูลมาวิเคราะห์สถานการณ์ด้านนวัตกรรม สำหรับนำไปกำหนดทิศทางและกลไกการสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไปในอนาคต  

           “ ในเรื่องของการพัฒนาศูนย์กลางทางการแพทย์ ซึ่งมีโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพ หรือ โครงการสเปียร์เฮด ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากการพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์ต่าง ๆ   อย่างเช่นย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ที่ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำตั้งแต่เป็นพื้นที่ในการพัฒนา  พื้นที่ในการทำ Sandbox แล้วก็พื้นที่ในการส่งเสริมการลงทุน  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารเพื่อเป็นพื้นที่ร่วมกันในการนำเสนอผลงานนวัตกรรมทางการแพทย์    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาย่านการแพทย์ต่าง  ๆ ทั่วประเทศ  เพื่อร่วมมือกัน ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาศูนย์กลางนวัตกรรมทางการแพทย์ประเทศไทย ”    

            ดร.กริชผกา  กล่าวอีกว่า จากแนวโน้มและโอกาสทางนวัตกรรมสำหรับทั้งสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีไทย NIA มองว่าในปี 2569  เทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. เทรนด์ด้านเทคโนโลยี ได้แก่ AI, IoT, Automation 2. เทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พลังงานทางเลือก การประหยัดพลังงาน และลดการปลดปล่อยคาร์บอน 3. เทรนด์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งการจัดสรรทรัพยากร สถานการณ์ความขัดแย้งที่ส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตข้ามชาติ ภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ที่ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัว และ 4. เทรนด์ด้านโครงสร้างประชากรที่สัดส่วนแรงงานวัยทำงานลดลง ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ สวัสดิภาพด้านสุขภาพ สินค้าและบริการ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยที่ต้องรับมือความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนเป็นทั้งโอกาสในการปรับตัวและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

            จากโปรแกรมหรือกลไกต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นนี้  NIA  คาดว่าจะกระตุ้นให้จำนวนสตาร์ทอัพไทย เพิ่มมากขึ้นถึง 3,000 ราย จากที่มีอยู่ประมาณ 2,000 รายในปัจจุบัน.