รู้จัก “Disaster” แพลตฟอร์มอัจฉริยะเพื่อการบริหารจัดการภัยพิบัติ

Cover Story

            หลายคนอาจจะเคยได้ยินและเริ่มคุ้นชินกับการนำเทคโนโลยีอวกาศอย่างข้อมูลจากดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ  โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วม ภัยแล้ง  ไฟป่า หรือว่าเกิดมลพิษทางอากาศอย่าง PM 2.5   

            เดิมการเข้าถึงข้อมูลจากเทคโนโลยีอวกาศเหล่านี้  ไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่ใช่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง  ดังนั้นเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์และเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นสู่การวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติของประเทศ และตอบสนองการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA  ได้จัดงาน  “Disaster Management Intelligence Platform”  ขึ้น เมื่อวันที่19 กันยายน ที่ผ่านมา  เพื่อส่งเสริมการใช้งานและแนะนำนวัตกรรมใหม่บน  Disaster Platform ที่ GISTDA  พัฒนาขึ้น โดยรวมข้อมูลภัยพิบัติทั้ง น้ำท่วม ไฟป่าหมอกควัน  ภัยแล้ง และคุณภาพอากาศ ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว

              และกว่าจะมาเป็นข้อมูลในแพลตฟอร์มดังกล่าว  ไม่ได้เป็นแค่ภาพถ่ายจากดาวเทียมที่แสดงพื้นที่ประสบภัย  แต่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ  สามารถนำไปใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ข้อมูลที่ได้จึงผ่านกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ต่าง ๆ มาแล้ว ทั้งด้าน   Monitoring    ติดตามการเปลี่ยนแปลง  Measuring   การตรวจวัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และนำไปใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด  Modelling   การจำลองสถานการณ์ต่างๆ  เพื่อนำไปใช้ในการคาดการณ์อนาคต    Mapping   การแสดงแผนที่ในเชิงพื้นที่  และนำไปสู่ Management  การบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

            “ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์”  ผู้อำนวยการ GISTDA  กล่าวว่า GISTDA พัฒนา Disaster Platform  ขึ้นมาโดยไม่ได้มองว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่จะรองรับการจัดการภัยพิบัติในมิติใหม่ที่ทันสมัย  ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานจริง    ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ออกแบบโดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ผู้ใช้งานในทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ภาคสนาม หน่วยงานระดับปฏิบัติการ หน่วยงานระดับนโยบาย  โดยมีเป้าหมายในการเป็นข้อมูลเปิด หรือ Open Data และ Data Sharing ให้ทุกคนได้ใช้และแลกเปลี่ยนข้อมูล  สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงเวลาเร่งด่วน รับการแจ้งเตือน วิเคราะห์สถานการณ์ และตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

             ภายใต้ Disaster Platform ได้นำเทคโนโลยีล่าสุดมาผสมผสาน อาทิ Big Data Analytics, AI, Interactive GIS, และฟังก์ชันการสื่อสารที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้การตัดสินใจในยามวิกฤตเกิดขึ้นอย่างถูกต้องและทันท่วงที  และที่สำคัญการออกแบบแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ “การตอบสนอง” แต่ยังมองไปถึง “การเตรียมความพร้อม” และ “การฟื้นฟูหลังเหตุการณ์” อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้าง “ความมั่นใจ” ให้กับสังคมว่าเรามีเครื่องมือที่พร้อมจะรับมือกับภัยในอนาคต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามด้วย “ข้อมูลที่แม่นยำ” การทำงานที่รวดเร็ว การประสานงานที่มีประสิทธิภาพ และระบบที่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้แบบ Near Realtime

            “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ  เป็นหนึ่งในภารกิจหลักที่ GISTDA ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 20 ปี  ซึ่งปัจจุบันภารกิจดังกล่าวได้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ  โดยการดำเนินการของ  GISTDA จะมุ่งเน้นใน 3 เรื่องหลักคือ 1.ความร่วมมือและประสานข้อมูลกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นรูปธรรม  2.  ความรวดเร็วของข้อมูลที่ Near Realtime    มากที่สุด เพื่อให้สามารถลดผลกระทบจากภัยพิบัติให้มากที่สุด และ 3. ต้องตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน”

             ด้านนางกานดาศรี  ลิมปาคม  รองผู้อำนวยการ GISTDA     กล่าวว่า  เนื่องจากดาวเทียม สามารถบอกสิ่งที่สายตาคนเรามองไม่เห็นได้    เห็นภาพครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง  มีรอบการโคจรกลับมาถ่ายภาพซ้ำบริเวณที่เดิม  ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง  วิเคราะห์และแจ้งเตือนภัยได้ทันท่วงที   และยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว  คุณสมบัติเหล่านี้จึงมีประโยชน์อย่างมากและตอบโจทย์ในเรื่องของภัยพิบัติ  

             GISTDA  ที่มีนโยบาย GI for All  หรือการทำให้ข้อมูลดาวเทียมมีประโยชน์สำหรับทุกคน  และได้ทำงานด้านภัยพิบัติมานาน  มีการเก็บข้อมูลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  จึงพัฒนา  Disaster Platform  ขึ้น เพื่อให้รองรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ  และรวมข้อมูลด้านภัยพิบัติต่างๆ ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งง่ายต่อการเข้าถึง และสะดวกในแบ่งปันข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ

               สำหรับ “ Disaster Platform”   ปัจจุบันมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งด้านน้ำท่วม  ไฟหมอกควัน  ภัยแล้ง และมลพิษทางอากาศ    โดยมีแนวคิดหลักในการใช้งาน   คือ การให้บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศที่ตรวจวัดได้จากภาพถ่ายจากดาวเทียมหลายช่วงเวลา และบันทึกภาพแบบใกล้เคียงกับเวลาจริง ในสถานการณ์ระหว่างเกิดและหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ และสามารถนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ รวมทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่ที่บันทึกภาพก่อนเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ  เพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ประสบภัยในการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น  และเป็นฐานข้อมูลในการวางแผนป้องกันและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงในปีต่อๆ ไปได้

            … อนาคต จะมีการพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งในส่วนของดินโคลนถล่ม ฐานข้อมูลแหล่งน้ำขนาดเล็ก และข้อมูลสิ่งกีดขวางทางน้ำ…

            ด้าน “ดร.สุรัสวดี  ภูมิพานิช”  นักภูมิสารสนเทศชำนาญการจาก GISTDA กล่าวว่า ปัจจุบัน ข้อมูลในแพลตฟอร์มจะอัพเดททุกๆ  1-5 วัน ตามแต่ละประเภทของภัยพิบัติ   และจะมีการสรุปภาพรวมสถานการณ์ภัยพิบัติย้อนหลัง 7 วัน ทำให้เห็นภาพรวมของพื้นที่เสี่ยงภัย หรือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 

            อย่างเช่น เรื่องของ “น้ำท่วม” จะมีการแสดงแผนที่พื้นที่น้ำท่วมในปัจจุบัน และย้อนหลังตั้งแต่ 3 วัน 7 วันและ 30 วัน รวมถึงการแสดงพื้นที่น้ำท่วมทั้งหมด แบ่งเป็นพื้นที่ในแต่ละจังหวัด และจำนวนหลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังสามารถระบุข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ เช่น พื้นที่นาข้าว โรงเรียน โรงพยาบาล และถนน

            GISTDA แนะนำฟีเจอร์ใหม่ในภัยพิบัติ  “น้ำท่วม”   คือ  Incident Map หรือ แผนที่แสดงจุดเกิดเหตุ  จากดาวเทียม THOES-2 ที่มีความละเอียดสูงมาก สามารถเห็นร่องรอย ความเสียหายต่าง ๆที่เกิดขึ้น  และที่สำคัญสามารถนำไปใช้ประเมินความเสียหาย  เยียวยา และการออกมาตรการต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำต่อไป   นอกจากนี้ยังมี  3D Building Model  แบบจำลองความสูง 3 มิติ เพื่อวิเคราะห์ ทิศทางการไหลของน้ำ และวางแผนจัดการด้านผังเมืองต่าง ๆ    และฟีเจอร์  Weather Radar เรดาร์สภาพอากาศ   2 ชั่วโมงย้อนหลัง  ช่วยในการคาดการณ์สภาพอากาศในระยะสั้น

            ขณะที่ภัยพิบัติ “ไฟป่า หมอกควัน”   GISTDA สามารถติดตามจุดความร้อนของประเทศไทยได้สูงถึง 10 ครั้งต่อวัน ข้อมูลที่ได้จากการบันทึกภาพจากดาวเทียมมีความกว้างมากกว่า 2,300   กิโลเมตร  ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้ทั่วทั้งประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอีกด้วย   ปัจจุบัน GISTDA มีการเพิ่มประสิทธิภาพจุดความร้อนจากดาวเทียม NOAA  โดยในแพลตฟอร์มจะมีข้อมูลจังหวัดที่เกิดจุดความร้อนเป็นจำนวนมาก สามารถระบุได้ว่าจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเป็นพื้นที่ประเภทไหน  และมี Time-Based  ติดตามจุดความร้อนในรอบ 24 ชั่วโมง บอกสถานะความรุนแรงและการลุกลามของไปเมื่อเวลาผ่านไป   รวมถึงมี Dashboard  สรุปข้อมูลสถิติเปรียบเทียบในด้านต่าง ๆ เช่น 5 อันดับพื้นที่ที่มีจุดความร้อนทั้งแบบรายประเทศและในประเทศไทย การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงไฟป่า และพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซาก

            ส่วน“ภัยแล้ง”  จะมีข้อมูลพื้นที่ประสบภัยแล้งทั้งหมด ค่าเฉลี่ยพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งทั้งประเทศและตามภูมิภาค รวมถึง 5 จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งสูงสุด รวมทั้งข้อมูลความชื้นในดิน (Soil moisture) ที่สามารถนำไปใช้ในการวางแผนการใช้น้ำและการเพาะปลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงของการขาดน้ำของพืช และยังสามารถนำไปใช้ในการเฝ้าระวังพื้นที่อาจจะเกิดดินถล่ม (Landslide) โดยเฉพาะดินที่มีความชื้นสูงมากในช่วงฤดูฝน

             ฟีเจอร์ในอนาคตสำหรับเรื่องภัยแล้งก็คือ  Water Surface Monitoring  ซึ่งเป็นไปตามตัวชี้วัด SDG 6.6.1   การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำในช่วงเวลาที่ผ่านมา   และฟีเจอร์ Small  Water  ฐานข้อมูลแหล่งน้ำขนาดเล็ก

             และสุดท้ายด้าน “มลพิษทางอากาศ” จะมีทั้งการรายงานสถานการณ์มลพิษต่าง ๆ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ที่แจ้งเตือนได้ในระดับรายชั่วโมง ปัจจุบันมี 5 ผลิตภัณฑ์  14 เลเยอร์ มีข้อมูลย้อนหลังและนำเสนอผ่าน Dashboard ที่สะดวก รวดเร็วและเข้าใจง่าย

              ปัจจุบัน  GISTDA ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลใน Disaster Platform มาพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมเชิงภูมิสารสนเทศในรูปแบบของแอปพลิชันบนมือถือที่ง่ายต่อการใช้งานสำหรับประชาชน เช่น แอปพลิชัน “เช็คน้ำ” เพื่อต่อยอดการให้บริการข้อมูลเชิงลึกจากแพลตฟอร์ม Disaster ไปสู่การคาดการณ์และแจ้งเตือนความเสี่ยงพื้นที่น้ำท่วมได้แบบเรียลไทม์ด้วยเทคโนโลยี Location Intelligence ที่ไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ตรงไหนในประเทศไทย ก็สามารถระบุจุดเสี่ยงที่ผู้ใช้งานยืนอยู่ได้

            นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน“เช็คฝุ่น” ที่สามารถดูข้อมูลฝุ่น PM2.5 ในแต่ละพื้นที่ได้แบบรายชั่วโมง สามารถให้รายละเอียดถึงระดับตำบลและพิกัดที่ผู้ใช้งานอยู่ ณ เวลานั้นๆ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันภัยจากฝุ่นได้  หรือแอปพลิชัน “ไลฟ์ดี”แอปพลิเคชันแรกของไทยที่ผสานข้อมูลภูมิสารสนเทศเข้ากับข้อมูลด้านสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ ด้วยความร่วมมือกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยรวมระบบรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ระบบประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ และระบบบริการสุขภาพไว้ในที่เดียว   และแอปพลิเคชัน “ เช็คแล้ง” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เกษตรกรสามารถติดตามความเสี่ยงภัยแล้งในแปลงเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และอ้อย เป็นต้น

             อย่างไรก็ดี  GISTDA ไม่ได้มีภารกิจเป็นผู้บริหารจัดการภัยพิบัติโดยตรง แต่มีหน้าที่หลักคือ การติดตาม วิเคราะห์ และประเมินขอบเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่าง ๆ  โดยจะสนับสนุนการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายจากดาวเทียมให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ดูแลบริหารจัดการน้ำในระดับนโยบาย  กรมชลประทาน ที่ดูแลพื้นที่การเกษตรหรือพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้ประโยชน์ในการแจ้งเตือนภัยและวางแผนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่  นอกจากนี้ ภาคเอกชนอย่าง สมาคมประกันภัยและธนาคารต่าง ๆ  เริ่มให้ความสนใจเข้ามาใช้บริการข้อมูลด้านภัยพิบัติ เพื่อประเมินความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่มากขึ้น

             สนใจ …คลิกดูข้อมูลได้ที่ https://disaster.gistda.or.th/