การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ : นายดิเรก บุญปิยทัศน์ รองผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นประธานในงานแถลงข่าวการใช้งาน EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทยในระบบไฟฟ้าสังคมเมือง ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง “EnPAT พลังแห่งนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนมหานครสู่อนาคตที่ยั่งยืน” พร้อมด้วย รศ. ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผศ. ดร.กานดา บุญโสธรสถิตย์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมพัฒนา EnPAT และหัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง กลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. และผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ นายไตรภพ เธียรถาวร กองบริหารจัดการหม้อแปลงระบบจำหน่าย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นายสุเทพ สิงหฤกษ์ ผู้อำนวยฝ่ายบริหารจัดการสินทรัพย์ระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายอาศิรวรรธน์ โพธิพันธุ์ นักวิชาการมาตรฐานชำนาญการพิเศษ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นายเสกสรร ครองพาณิชย์ กรรมการบริหารและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) ดร.ธัญญรัตน์ บุญถีกูล ผู้จัดการฝ่ายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)และนายกวิน กิตติรัตนวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด

นายดิเรก บุญปิยทัศน์ รองผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)กล่าวว่า การไฟฟ้านครหลวงมีความยินดีที่ได้ร่วมพัฒนา EnPAT กับ สวทช. และพันธมิตร มาตั้งแต่ต้นจนถึงความสำเร็จในการนำร่องใช้งานหม้อแปลงบรรจุ EnPAT เครื่องแรกในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟน. ในพื้นที่การไฟฟ้านครหลวงเขตลาดกระบังเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมพลังงานที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัย ความยั่งยืน และอนาคตของมหานคร โดย EnPAT สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ.2050 และวิสัยทัศน์ไฟฟ้าสีเขียว (Green Electricity) ของ กฟน. เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจเข้าถึงไฟฟ้าที่สะอาดและมั่นคง ทั้งนี้ Green Electricity ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง Green Data Center ในภูมิภาค ซึ่งต้องการไฟฟ้าที่สะอาดและมีเสถียรภาพ โดย กฟน. พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานนี้ นอกจากนั้น EnPAT ยังช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย สร้างรายได้มั่นคงให้เกษตรกรกว่าสี่แสนครัวเรือน และเป็นต้นแบบการขยายสู่หม้อแปลงในพื้นที่สำคัญอื่น ๆ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยและความยั่งยืน

รศ. ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การนำร่องใช้งาน EnPAT ในแขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง ไม่เพียงเป็นความสำเร็จของ กฟน. แต่ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ของ กรุงเทพฯ ในการยกระดับความปลอดภัยของระบบสาธารณูปโภคและส่งเสริมนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบาย “กรุงเทพ 9 ด้าน 9 ดี” โดยเฉพาะด้าน “ปลอดภัยดี” มุ่งเน้นไปที่การลดความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยที่อาจเกิดขึ้น จากสถิติของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพฯ พบว่าในปี 2568 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม มีเหตุอัคคีภัย จำนวน 3,443 ครั้ง ซึ่งเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร จำนวน 1,243 ครั้ง น้ำมัน EnPAT มีจุดเด่นที่จุดติดไฟสูงกว่าน้ำมันหม้อแปลงทั่วไป ทำให้การลุกติดไฟเกิดได้ยาก ลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์หม้อแปลงระเบิดในพื้นที่ชุมชน นอกจากนี้ หากเกิดการรั่วไหล น้ำมันชนิดนี้ยังสามารถย่อยสลายได้ง่ายและไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นการป้องกันเชิงรุกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความปลอดภัยและความยั่งยืนในพื้นที่เมืองหลวง
กรุงเทพฯ ขอชื่นชมทีมวิจัยจาก สวทช. และ กฟน. รวมถึงทุกภาคส่วนที่ร่วมกันผลักดันนวัตกรรมนี้สู่การใช้งานจริง กรุงเทพฯ เห็นถึงความสำคัญในการขยายผลการใช้งาน EnPAT ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนในทุกชุมชนได้รับความปลอดภัยในระดับเดียวกันกับพื้นที่นำร่อง และเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน กรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้าเป็นเมืองต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืน และขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมนี้ให้เกิดผลในระดับประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและอนาคตของประเทศ

ผศ. ดร.กานดา บุญโสธรสถิตย์ ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า EnPAT ได้รับรางวัล “PMUC Country First Award ครั้งแรกของไทย งานวิจัยเปลี่ยนประเทศ” ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพในการรวมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงชีวภาพมาร่วมกันผลักดันให้เกิดระบบนิเวศที่เหมาะสมและพร้อมต่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ การนำร่องใช้งานหม้อแปลงบรรจุ EnPAT ครั้งแรกของประเทศที่ จ.ชลบุรี โดย กฟภ. การต่อยอดในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดย กฟน. และการขยายการใช้งานเพิ่มเติมในอนาคต โดย กฟผ. จะเป็นพลังสำคัญในการสร้างความต้องการ ที่ชัดเจนและผลักดันการผลิตและใช้งานน้ำมันหม้อแปลงชีวภาพในระดับอุตสาหกรรม ความสำเร็จในวันนี้แสดงถึงการบูรณาการงานวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และผู้ให้บริการไฟฟ้า เพื่อสร้าง ความต้องการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนว่า EnPAT ไม่ใช่เพียงการสร้างโอกาสทางการค้า แต่ยังเป็นการส่งเสริมภาคการเกษตรตามยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าผลผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรปาล์มน้ำมันไทยกว่า 400,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ

ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. กล่าวว่า วันนี้ ENTEC ขอเปิดบทใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานไทย โดยเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มไปจนถึงระบบไฟฟ้าในเมืองหลวง สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีที่ผลักดันการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมัน ENTEC จึงพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (ENPAT) ตามกลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand (STIST) ของ สวทช. โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

ทั้งนี้ บทบาทเชิงรุกของ กฟน. กฟภ. และ กฟผ. ในการนำร่องใช้งานจริง ร่วมกับการกำหนดนโยบายสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความต้องการที่ชัดเจนในการใช้งาน EnPAT และผลักดันให้เกิดการผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเปิดประตูสู่การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงของประเทศ สร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ การผลักดันให้เกิดความต้องการจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมหม้อแปลงชีวภาพของไทย แต่ยังเป็นการกระจายรายได้กลับสู่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 4 แสนครัวเรือน

ด้าน ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมพัฒนา EnPAT และหัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง กลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) กล่าวเสริมว่า EnPAT ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นหนึ่งในคำตอบสำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของระบบไฟฟ้าและส่งเสริมไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งจะทำให้ไทยพร้อมตอบโจทย์ทั้งเป้าหมาย Net Zero และการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลสีเขียวในภูมิภาค ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากการไฟฟ้านครหลวง นำมาสู่การนำร่องในงานหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยหม้อแปลงที่ติดตั้งเป็นชนิด 3 เฟส ขนาด 150 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) ในระบบ 24 กิโลโวลต์ (kV) การดำเนินงานในครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการติดตั้งหม้อแปลง EnPAT เครื่องแรกของประเทศ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 ร่วมกับ กฟภ. นับจนถึงปัจจุบันได้จ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่า 1 ปี 8 เดือน และ EnPAT กำลังก้าวต่อไปสู่ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยการสนับสนุนจาก กฟผ. โดยหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT มีแผนที่จะติดตั้งในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เขื่อนสิรินธร และในอนาคตอันใกล้จะมีการศึกษาการนำร่องใช้งาน EnPAT เพิ่มเติม ได้แก่

1. การใช้งานในหม้อแปลงแกนเหล็ก Amorphous 2. การใช้งานในหม้อแปลงเครื่องมือวัด 3. การใช้งานทดแทนน้ำมันแร่ในการซ่อมบำรุงหม้อแปลง นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังมุ่งมั่นในการส่งเสริมศักยภาพผู้ผลิตหม้อแปลงสัญชาติไทยให้มีความพร้อมทั้งด้านเทคนิคและความเชี่ยวชาญในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT โดยความร่วมมือเชิงรุกร่วมกับบริษัทผลิตหม้อแปลงต่าง ๆ คือกุญแจสำคัญในการสร้างความพร้อมของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการเชิงพาณิชย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งความต้องการที่เริ่มต้นจากหน่วยงานภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมไทยลงทุนสร้างห่วงโซ่อุปทาน ที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ถือเป็นการวิจัยที่ผลักดันการใช้งาน EnPAT เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก พร้อมกระจายรายได้สู่เกษตรกรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก EnPAT จึงไม่ใช่แค่น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพ แต่คือพลังแห่งความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย
