“อภิสิทธิ์” ชี้ศักยภาพธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ไทย ย้ำกฏระเบียบต้องไม่เป็นอุปสรรค!

News Update

Tcels เปิดเวที Dinner Talk เชื่อมต่อเครือข่ายชีววิทยาศาสตร์ไทย  “อภิสิทธิ์”  ชี้ความท้าทายของอุตสาหกรรม ผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์โลก สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ ความไม่แน่นอน แนะแนวทางการพัฒนา “กฎระเบียบต้องไม่เป็นอุปสรรค  ทักษะ-กำลังคน เพียงพอ  และมีระบบนิเวศ-ระบบทุนที่เอื้อให้ธุรกิจเติบโต”  ด้าน สสว.- NIA  เผยแนวทางขับเคลื่อนจากภาครัฐ ย้ำความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

            เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ที่ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ฯ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)  หรือ Tcels  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)โดยฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน   จัด  Dinner Talk ในหัวข้อ “ความท้าทายของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล” (Challenges in Life Sciences Industry During Government Transition) โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ความท้าทายของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล”   

             นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  กล่าวว่า    ปัจจุบันอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโต ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสาขาอื่นๆ  เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย ที่มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น และมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น  ซึ่งจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการรวมถึงใช้ในการลดต้นทุน  ประกอบกับชาวต่างประเทศเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น  ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ไทยมีศักยภาพแน่นอน เพียงแต่ว่าในเชิงโครงสร้างยังต้องการการแก้ไขหลายอย่างซึ่งเหมือนกับอุตสาหกรรมอื่นๆ  อย่างแรกก็คือประเด็นกฎระเบียบ ขั้นตอนการอนุมัติ อนุญาต หลายอย่าง โดยเฉพาะถ้าต้องมีการพัฒนากระบวนการตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องใช้เวลารอคอยจากหลายหน่วยงานมาก  รวมไปถึงเรื่องของการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะโดยตรง โดยเฉพาะในสายของการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์

            นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของมาตรฐาน และการปรับห่วงโซ่อุปทานให้อยู่ในจุดที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น อย่างเช่น การมุ่งเน้นพัฒนายาตัวใหม่มากกว่าการผลิตยาสามัญเหมือนในอดีต รวมถึงการแก้ไข “ข้อต่อ”  ระหว่างการวิจัยไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปสู่การระดมทุน ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนในกระบวนการ เหมือนกับ Startup ต่าง ๆ   เนื่องจากการระดมทุนของไทย ยังคุ้นชินอยู่กับเรื่องการพึ่งพาระบบธนาคาร ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับวิธีการของธุรกิจแบบนี้

             “ปัจจัยเหล่านี้ผมคิดว่ามันรอคอยการแก้ไข ซึ่งต้องเป็นนโยบายที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกันทั้งระบบ   แล้วก็เป็นจุดที่ไม่เพียงแต่อุตสาหกรรมนี้   แต่ยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมก็รอคอยการเข้ามายกระดับของระบบทั้งหมด”

            นายอภิสิทธิ์ ให้ข้อเสนอแนะว่า อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ที่ต้องอิงอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เกี่ยวข้องกับเรื่องมาตรฐาน และห่วงโซ่อุปทานข้ามชาติ  สิ่งสำคัญ หนึ่ง คือเรื่องของกฎระเบียบ ต้องไม่เป็นอุปสรรค  สองเรื่องของความเพียงพอของคนที่มีทักษะที่เกี่ยวข้อง  และสาม คือเรื่องของการสร้างระบบนิเวศรวมถึงเรื่องของการระดมทุน  ที่เอื้อให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้

            “ปัญหาอันหนึ่งซึ่งเราก็คงต้องตีโจทย์ให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือว่าในเชิงนโยบาย เราต้องพยายามที่จะสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณสุขของรัฐเพื่อตอบโจทย์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ กับการพัฒนาตรงนี้ซึ่งที่ผ่านมา จะมีการพูดกันถึงว่าเป็นการดึงทรัพยากรกันมามากน้อยแค่ไหนอย่างไรซึ่งเราก็ต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วย  สำหรับรัฐบาลปัจจุบัน หากพูดถึงกรอบเวลาสามเดือนกว่าๆ ที่เหลือ ผมคิดว่าการจะไปแก้กฎหมายต่าง ๆ คงเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขประเด็นเฉพาะหน้า ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง   ดังนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ ควรที่จะเตรียมข้อเสนอที่เป็นระบบสำหรับพรรคการเมืองต่างๆ ในการที่จะไปใช้ในการรณรงค์หาเสียงและก็พัฒนาไปสู่การเป็นนโยบายของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ผมว่าตรงนี้น่าจะมีความเป็นจริงมากกว่าที่จะไปคาดหวังว่า 3 เดือนกว่าๆ นี้ จะสามารถแก้ไขหลายๆ อย่างได้”

            นายอภิสิทธิ์  กล่าวอีกว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะผันผวน ปั่นป่วน สิ่งที่กระทบกับอุตสาหกรรม ชีววิทยาศาสตร์  ก็คือ ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน การค้าการลงทุนโลกหดตัว  การกีดกันทางการค้า และการทำสงครามทางการค้าซึ่งแบ่งข้างอย่างชัดเจน  จึงเป็นโจทย์ที่ทำให้เกิดความเสี่ยง นักลงทุนไม่มั่นใจในการลงทุนในประเทศต่าง ๆ ทำให้เป็นอุปสรรคในการแสวงหาพันธมิตรข้ามชาติ   คนไม่มั่นใจในสินทรัพย์  หนีไปลงทุนในทองคำ ขณะที่บทบาทของคลิปโตยังคลุมเครือ  สำหรับประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยนี้  และมีกรอบระยะเวลา 4 จึงไม่มีแนวคิดในการผลักดันกฎหมายใด ๆ   แม้ว่ากรอบระยะเวลานี้อาจจะปรับเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม ผมมองว่าสิ่งที่เราคาดหวังได้ ก็เป็นเพียงเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและ แก้ปัญหาระยะสั้นมากกว่า

            “อย่างไรก็ดี   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลก  การเมืองระหว่างประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์  ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้   จริง ๆ สำหรับผม ในช่วงนี้  สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ “ ความไม่แน่นอน ”  ถ้าจะแบ่งค่ายเด็ดขาด มีความแน่นอน ผมเชื่อว่าทุกคนทำงานได้  สิ่งที่ร้ายกว่า คือ ความไม่แน่นอน ทำให้การตัดสินใจอะไรที่ผูกพันตัวเองในระยะกลางระยะยาว นั้นยากขึ้น”  

             นอกจากนี้ภายในงานยังมีการเสวนา “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์โดยการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐ” โดยดร.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)และ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA  ซึ่งเป็นสองหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของประเทศ

            ดร.ปณิตา ชินวัตร    กล่าวว่า ธุรกิจชีววิทยาศาสตร์คือหนึ่งในธุรกิจ SME ที่ สสว.ให้การสนับสนุนโดยเฉพาะในธุรกิจเครื่องมือแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งสสว.ได้ส่งเสริมเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐ โดยสามารถเสนอราคาได้สูงกว่ารายใหญ่ 10 – 15 %   และส่งสนับสนุนสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น หากวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท การจัดซื้อจัดจ้างต้องเลือก SME ก่อน รวมถึงโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS  หรือ  “ SME ปัง ตังได้คืน” ซึ่งอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาธุรกิจในรูปแบบใหม่ โดยร่วมจ่าย (co-payment)  ในสัดส่วน  50 – 80 %  สูงสุดรายละไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งในปีที่ผ่านมามี SME มาใช้บริการประมาณ  600-700 ราย

            ปัจจุบันธุรกิจ SME มีประมาณ 3.2 ล้านราย คิดเป็นประมาณ 99.5 %  ของธุรกิจทั้งหมดของประเทศ และถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศที่ทุกรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน ซึ่งในปีนี้  สสว. มีนโยบาย “ สร้างรายได้ ขยายโอกาส และเสริมแกร่งธุรกิจ”   ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนเรื่องเงินทุนแล้ว ยังมีเงินกู้สำหรับการต่อยอดหรือพัฒนานวัตกรรม ช่องทางการจัดจำหน่ายรวมถึงมีการจัดเวทีประกวดผลงานของ SME เพื่อให้กำลังใจและต่อยอดไปสู่การทำตลาดในต่างประเทศอีกด้วย

            ด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง   กล่าวว่า  สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health and Wellness)เป็น Sector ที่NIA ให้ความสำคัญ โดยมีการสนับสนุนทุนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการแพทย์ทางไกล การแพทย์ดิจิทัล เครื่องมือแพทย์ และการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI  มาตอบโจทย์ด้านสุขภาพในเรื่องต่างๆ  ทั้งนี้  NIA  พยายามจะมุ่งเน้นการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกหรือ Deep Tech ทางด้านเครื่องมือแพทย์ หรือเทคโนโลยีชีวภาพจากมหาวิทยาลัย ที่มีการต่อยอดงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น   และต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทย เป็น  “Thailand Medical Hub”  หรือ ศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน  ซึ่ง NIA และ Tcels รวมถึงพันธมิตรต่างๆ  ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาย่านนวัตกรรมโยธี จนได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจาก  BOI   และได้มีการขยายเครือข่ายการพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์ไปยังที่ต่าง ๆทั่วประเทศ  เช่น ย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก จ.เชียงใหม่ เขตนวัตกรรมทางการแพทย์กังสดาล (KMID) ม.ขอนแก่น รวมถึงย่านนวัตกรรมการแพทย์ที่ศิริราช และจุฬาฯ

            “เรามองว่าโรงเรียนแพทย์หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของภาครัฐ จะเป็นพื้นที่สำคัญในการเปิดรับการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI  รวมถึงการใช้งานเทคโนโลยีที่ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบัน  NIA จึงมีความร่วมมือกับโรงเรียนแพทย์มากขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้งานจริง และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการนวัตกรรมไทย อย่างไรก็ดีโจทย์ปัญหาสำคัญของผู้ประกอบการในธุรกิจนวัตกรรมนี้โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับยาคือ การขอ อย. ที่ให้บางครั้งผู้ประกอบการต้องขอมาตรฐานจากต่างประเทศก่อนเข้ามาขอในไทย ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น  ปัจจุบันยิ่งมีข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องการยอมรับใบรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) สำหรับเครื่องมือแพทย์และยา ทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีโอกาสเข้ามาตีตลาดในไทยมากขึ้น หากเรายังไม่แก้ปัญหาเรื่องการขอ อย. หรือมาตรฐานต่าง ๆ  จะทำให้เสียโอกาส และไม่สามารถแข่งขันได้ ดังนั้นหน่วยงานที่เป็นผู้กำกับดูแลจะต้องเข้ามาช่วยกัน โดยมีมาตรการให้ผู้พัฒนาทำงานได้ง่ายขึ้น”

            ดร.กริชผกา กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน NIA  และหน่วยงานในกระทรวง อว. เช่น กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ร่วมกันทำมาตรฐานสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาตรฐานมาก่อน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ขณะเดียวกันในตลาดมีการแข่งขันที่สูงมาก  ทุกประเทศต่างมีนวัตกรรม ขึ้นอยู่กับว่าประเทศใดจะทำสินค้าให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็จะขายได้มากขึ้น  ดังนั้นด้วยเม็ดเงินที่มีจำกัด จึงจำเป็นต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสและสร้างเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จให้กับอุตสาหกรรมอีกด้วย               

             สำหรับการจัดงาน Dinner Talk ว่าที่ร้อยเอก ภก.ดร.วฤษฎิ์ อินทร์มา ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน   TCELS กล่าวว่า งานดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อสร้างเครือข่ายที่ดีระหว่างหน่วยงานที่สนับสนุน ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ทำงานจริงในอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ได้มีโอกาสในรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือและเสริมความแข็งแกร่ง สร้างการเติบโตกับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ไทยได้ต่อไป

            ” TCELS  จะทำหน้าที่เสมือน “ Connecting the Dots”  หรือการต่อจุดเชื่อมโยงให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไปได้ ซึ่งนี่จะเป็นแค่จุดเริ่มต้น ธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน  ไม่มีใครบอกได้ว่าธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งทุกหน่วยงานจำเป็นต้องช่วยกัน”

            ทั้งนี้อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยหลากหลายธุรกิจ ซึ่งในประเทศไทยธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ ที่มีความโดดเด่น 5 อันดับแรกคือ  ธุรกิจให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพ  ธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ธุรกิจเครื่องสำอาง ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ และธุรกิจยา โดยเฉพาะการพัฒนายาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง